“ปฏิรูปประเทศ” ลดความเหลื่อมล้ำ หรือซ้ำเติมประชาชนรากหญ้า

“ปฏิรูปประเทศ” ลดความเหลื่อมล้ำ หรือซ้ำเติมประชาชนรากหญ้า

“คมสันติ์ จันทร์อ่อน” กับคำถามต่อการผ่อนปรนให้กลุ่มทุนต่าง ๆ สามารถเป็นผู้ครอบครองที่ดินรัฐได้อย่างยาวนาน ขณะที่คนจนอีกหลายล้านชีวิตยังขาดแคลนที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย

คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค

ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ กับการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. … เพื่อวางรากฐานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของประเทศไทย ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ก่อนจะขยายไปยังภาคอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต ประเด็นที่น่าติดตามคือ การขยายสิทธิการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากเดิม 50 ปี เป็น 99 ปี

จากความเดิม เมื่อคราวปีที่แล้ววันที่ 30 มกราคม 2559 พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีกระแสข่าวรัฐบาลจะเอาที่ดินของรัฐไปให้เอกชนและนักธุรกิจต่างชาติเช่าเป็นเวลา 99 ปี จนถูกมองว่าเป็นการเอาที่ดินไปขายให้ต่างชาติว่า

“รัฐบาลยังไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องนี้ และยังไม่ได้กำหนดนโยบายใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว”

นั่นเป็นคำให้สัมภาษณ์ต่อสื่อเพื่อดับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ประชาชนได้ยินกระแสที่รัฐบาลจะวางแผนหานักลงทุนต่างชาติมาลงทุนเพื่อเป็นรายได้อีกทางของรัฐ โดยการให้สิทธิ์พิเศษในเรื่องการเช่าที่ดินได้ระยะยาวขึ้นเพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนถึง 99 ปี

แต่แล้วการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2559 ได้มีมติเห็นชอบหลักการโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Department) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดทำแผนการดำเนินโครงการ อาทิ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง ผังเมือง การใช้ประโยชน์ที่ดินแผนงานด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิการเช่าที่ดิน สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ฯลฯ เสนอต่อ ครม. ถัดมาอีก 4 เดือน การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ได้มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. …

ล่าสุดการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 ได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำไปแก้ไขประเด็นต่างๆ ประมาณ 1-2 เดือน เพื่อนำกลับมาให้ ครม. พิจารณาอีกครั้ง ก่อนจะส่งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป

ถือเป็นคำ “โกหกคำโต” ของโฆษกรัฐบาลที่ออกมาแก้ตัวให้พ้นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เพียงเท่านั้น ไม่กล้าที่จะออกมายอมรับในโครงการที่รัฐบาลกำลังวางแผนจะให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยการมอบสิทธิพิเศษหลายอย่างให้โดยเฉพาะ “กรรมสิทธิ์ที่ดิน” แน่นอนว่าเนื้อหาสาระสำคัญที่คณะรัฐมนตรีขอแกไข้เนื้อหาเพิ่มเติมนั้นจำต้องมุ่งเน้นอำนวยความสะดวกให้กับผู้ลงทุน และกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลคาดหวังไว้ นั้นคือกลุ่มทุนจากต่างชาติ

มติ ครม. เมื่อ 11 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ที่มอบสิทธิ์ให้กับชาวต่างด้าวที่ทุนหนา เงินเยอะ สามารถยึดครองที่ดินประเทศได้ยาวนานถึง 99 ปี ในขณะที่สถานการณ์ที่ดินในประเทศไทยเองยังมีกลุ่มทุนไม่กี่ตระกูลครองที่ดินส่วนใหญ่ของประเทศไว้ แต่ประชาชนกว่า 4.3 ล้านคน ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย

ฉะนั้น มติ ครม. ดังกล่าว นอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหาการกระจายการถือครองที่ดินอย่างทั่วถึงได้แล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาที่ดินให้มีสถานการณ์ที่หนักขึ้นอีกด้วย

แท้จริงแล้วยังมีพื้นที่ในหลายจังหวัดที่กำลังแต่งตัวรับเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษไม่ว่าจะเป็น ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย และ ตาก ภาคอีสาน จังหวดหนองคาย , นครพนม และมุกดาหาร ภาคใต้ จังหวัดสงขลา และนราธิวาส ภาคตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี และภาคตะวันออก เดิมมี จังหวัดสระแก้ว และตราด (ข้อมูลจาก : เว็บไซต์กระทรวงอุตสาหกรรม) ส่วนมติ ครม. 11 เมษายน 2560 เป็นการเห็นชอบพื้นที่เพิ่มเติม 3 จังหวัด ตะวันออกคือ จังหวัดชลบุรี, ระยอง และฉะเชิงเทรา ดังที่กล่าวข้างต้น

ที่มา : เว็บไซต์กระทรวงอุตสาหกรรม

พื้นที่ที่ได้รับความเห็นชอบไปก่อนหน้านี้ได้ส่งผลกระทบต่อชุมชนดั้งเดิมหลายหมู่บ้าน หลายตำบล ราคาที่ดินที่พุ่งขึ้นสูงลิ่ว เกิดการกว้านซื้อที่ดินรอบๆหรือใกล้เคียงกับพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ชาวบ้านที่อาศัยในที่ดินที่จะนำไปทำเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ต้องสูญเสียที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย ซึ่งปัญหาข้อพิพาทเหล่านี้ยังไม่ได้ข้อยุติอยู่ระหว่างการเจรจาการแก้ปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมกับรัฐบาลค้างอยู่

สิทธิพิเศษ นอกเหนือที่เห็นปรากฏหน้าข่าวในด้านระยะเวลาการเช่าที่ดิน 99 ปี ได้นั้น ยังมีสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่กลุ่มทุนเหล่านั้นจะได้รับ เช่น

  • นอกจากจะได้ระยะเวลาเช่าที่ดินในระยะยาวนานแล้ว ราคาค่าเช่านั้นยังแสนถูกมากจากข้อมูลก่อนที่จะมี มติเห็นชอบเขตเศรษฐกิจ 3 จังหวัดภาคตะวันออก เมื่อ 11 เมษายน ที่ผ่านมา ทางกรมธนารักษ์ได้คิดค่าเช่าที่ดินที่จะทำนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวดสงขลา ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีอัตราค่าเช่าราคาแพงที่สุด อยู่ในราคา 220,000 บาทต่อไร่ หรือคิดเป็น 550 บาทต่อตารางวา หรือเพียง 137.5 บาทต่อตารางเมตร คิดเป็นอัตราค่าเช่ารายปี (ข้อมูลจาก : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432959904)
  • สิทธิในการที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดเป็นเวลา 13 ปี ตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด และจะได้รับการยกเว้นและหรือลดหย่อนภาษีตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน และได้รับประโยชน์เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรคลังสินค้าทัณฑ์บนและเขตประกอบการเสรี
  • ได้รับการอำนวยความสะดวกโดยรัฐ จัดทำโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ทั้งที่อยู่ในเขตและนอกเขตพัฒนาพิเศษ

นี่เป็นเพียงสิทธิพิเศษบางอย่างที่กลุ่มทุนว่าจะเป็นทุนใหญ่ในประเทศ หรือกลุ่มทุนข้ามชาติ ที่จะมาหาประโยชน์ในแผ่นดินประเทศไทย ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ

แต่ที่น่าละอายไปกว่านั้นนโยบายการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยการยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ระยะเวลายาว 99 ปี ไม่ใช่รัฐบาลนี่เป็นผู้ต้นคิด กล่าวโดยย่อที่มาที่ไปนั้นมาจากกลุ่มทุนที่เคยมีอำนาจวางรากฐานสยายปีกตอนกลุ่มทุนเหล่านั้นเข้ามาเป็นรัฐบาลตั้งแต่สมัย ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ถูกประชาชนคัดค้าน และเป็นหนึ่งในเหตุผลในการ “ขับไล่” กลุ่มทุนเหล่านั้นออกจากอำนาจจนเป็นที่มาการรัฐประหารในปัจจุบัน

ที่มา: เครดิตภาพจาก นิตยสาร WAY

เครือข่ายสลัม 4 ภาค ผลักดันการปฏิรูปที่ดินเมืองเพื่อที่อยู่อาศัยของคนจนใช้ระยะเวลายาวนานไม่ว่าจะเป็นที่ดินรัฐ หรือเอกชน และไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวมาโดยตลอด

ที่ผ่านมาเครือข่ายสลัม 4 ภาค พยายามเสนอแนวทางการแก้ปัญหาในเชิงนโยบายจนเกิดรูปธรรมกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยขึ้นคือ มติคณะกรรมการรถไฟฯ เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2543 ที่ชุมชนสามารถเช่าที่ดินการรถไฟฯ ได้เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ระยะสัญญาที่ชาวชุมชนสามารถเช่าได้ยาวนานที่สุดอยู่ที่ 30 ปี ซึ่งก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจบ 30 ปีแล้ว จะสามารถเช่าต่อได้หรือไม่ ยังคงเป็นคำถามของชาวชุมชนอยู่

ภาพการชุมนุมเครือข่ายสลัม 4 ภาค ที่หน้ากระทรวงคมนาคม

กระนั้นเองชุมชนริมทางรถไฟหลังวัดช่องลม-หลังฉาง เช่าที่ดินการรถไฟฯ อายุสัญญาเช่า 30 ปี ซึ่งผ่านมาแล้ว 10 ปี กระทรวงคมนาคมมีความประสงค์ต้องการใช้ที่ดินย่านนั้น 270 ไร่ ที่เป็นที่ดินของการรถไฟฯ และส่วนหนึ่งนั้นคือพื้นที่ชุมชนริมทางรถไฟหลังวัดช่องลมฯ ด้วยนั้นเอง

การใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นโครงการหารายได้เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของการรถไฟฯ เอง และหารายได้เข้ารัฐที่อยู่สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก โดยให้เอกชนมาลงทุนและสร้างเป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษย่านสถานีแม่น้ำ เขตยานนาวา กทม. และพยายามส่งบริษัทที่ปรึกษาโครงการฯ มาเพื่อเจรจาให้ชาวชุมชนในการยกเลิกสัญญาหรือไม่ก็ให้ปรับการใช้พื้นที่ให้ลดลง

และนั้นเองคำตอบที่ได้จากชุมชนคือจะไม่ยอมยกลิกสัญญาเช่า หรือปรับเปลี่ยนพื้นที่เช่าใดๆ ทั้งสิ้น แน่นอนโครงการระดับอภิมหาโปรเจคนี่เองก็คาดหวังจะได้นักลงทุนจากต่างประเทศนั้นเอง

ดังนั้นเครือข่ายสลัม 4 ภาค จึงไม่เห็นด้วยในทุกประการทั้งปวงในการผ่อนปรนให้กลุ่มทุนต่าง ๆ สามารถเป็นผู้ครอบครองที่ดินรัฐได้อย่างยาวนาน ขณะที่คนจนอีกหลายล้านชีวิตยังขาดแคลนที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย อีกทั้งข้อเสนอของภาคประชาชน “ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม” หรือ P-Move ในการขอสิทธิ์ในการจัดการที่ดินรัฐในรูปแบบแปลงรวมโดยชุมชนจัดการตนเอง กลับไม่ได้รับการตอบสนอง

นโยบายที่ประกาศไว้หลังจากการเข้ามามีอำนาจในการปกครองประเทศที่จะ “ปฏิรูปประเทศ” ในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการ “ลดความเหลื่อมล้ำ” ทางสังคมที่มีอยู่ในตอนนั้น แต่ปรากฏการณ์ตอนนี้ที่เห็นอยู่ยังไม่มีนโยบายใดที่ตอบโจทย์ดังกล่าวได้เลย ตรงกันข้าม นโยบายที่ออกมากลับซ้ำเติมประชาชนกลุ่มคนชั้นล่างมากเป็นอย่างยิ่ง เช่น การทวงคืนผืนป่ากับกลุ่มคนจนที่อาศัยอยู่ในป่ามาอย่างยาวนาน ความพยายามที่จะลดการสนับสนุนการศึกษาลง หรือความพยายามที่จะไม่สนับสนุนการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างถ้วนหน้า

ส่วนข้อเสนอของภาคประชาชนไม่ว่าจะเป็นกฏหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า นโยบายการจัดการทรัพยากรที่ดินโดยชุมชน นโยบายธนาคารที่ดิน ฯลฯ ยังคงไม่ได้รับความสนใจจากหน่วยงานและรัฐบาล

ลำพังการผูกขาดการถือครองที่ดินโดยกลุ่มทุนในประเทศก็แทบจะไม่เหลือที่ดินไว้สำหรับทำกินและอยู่อาศัยของคนยากจนแล้ว แต่รัฐบาลนี้กลับเปิดช่องการสร้างปัญหาแย่งชิงทรัพยากรที่ดินข้ามชาติขึ้นมา หากไม่ได้เป็นรัฐบาลที่มาโดยการรัฐประหาร อาจจะถูกตราหน้าเป็น “รัฐบาลขายชาติ” และถูกเดินขบวนขับไล่ไปเสียแล้วก็ได้ !!!

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ