คอลัมน์: รับเชิญ เรื่อง: พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ
ในวันที่หลักการและข้อมูลข้อเท็จจริงไปกันไม่ได้กับความรู้สึก บางครั้งการอยู่เฉยๆ ปิดปากเงียบก็น่าจะดีกว่าการสร้างศัตรู – มิตรข้าพเจ้าคนหนึ่งเคยบอก
ผมไม่ว่าอะไร แต่เห็นไม่เหมือนเขา
ผมเคยถูกชักชวน ให้เข้าร่วมการปฏิรูปในขณะที่ประเทศกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป ผมยินดีอย่างยิ่งแม้ว่าตอนนั้นผมจะอยู่ในฝั่งที่ออกมารณรงค์ให้คนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งก็ตาม
แน่นอน กระบวนการปฏิรูปมันมีขั้นตอนมากมาย การจัดกิจกรรมปฏิรูปก็มีพิธีกรรมของมันเหมือนกัน ผมได้รับเชิญให้ไปออกรายการสดทางทีวีสาธารณะในพิธีเปิด ‘เดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย’ ซึ่งจะจัดในวันรุ่งขึ้น ทางทีมงานผู้จัดขอให้ผมกล่าวอะไรสัก 3-4 นาฑี พร้อมทั้งขอสคริปต์ที่ผมจะกล่าว
ผมบอกว่าคงเตรียมให้ไม่ทัน เพราะต้องขับแท็กซี่ แต่ยืนยันว่าจะพูดในเรื่องการปฏิรูปและจะใช้เวลาไม่เกินตามที่กำหนด มันเป็นรายการสด เวลาทุกวินาทีมีค่า ผมเข้าใจดี
ตอนที่ถูกขอสคริปต์และรู้ว่าเป็นรายการสด ผมรู้ว่าควรจะทำอย่างไร การปฏิเสธเรื่องสคริปต์เป็นเพียงข้ออ้าง ผมรู้ดีว่าถ้าผมเขียนสิ่งที่จะพูดให้ทีมงานก่อน
ผมไม่มีวันได้พูดแน่ๆ อย่าลืมนี่มันรายการสด โอกาสของประชาชนที่ไม่มีสายสัมพันธ์อันใดกับใคร กับองค์กรใด มันมีไม่มากนักในสถานีโทรทัศน์สาธารณะ
วันงาน ผมนำแท็กซี่มาจอดรอในลานจอดรถของโรงแรมจัดงาน ทีมงานโทรหาผมหลายครั้งหลายหน ผมยืนยันว่าไปทันเวลาออกอากาศแน่ แม้ว่า
ระหว่างทางรถจะติด ใช่ ระหว่างทางรถติดแต่ผมก็มาถึงนานแล้ว อีกสิบนาทีจะถึงเวลาออนแอร์ ผมปรากฏตัวให้ทีมงานเห็นแต่ขออนุญาตเข้าห้องน้ำ
เพื่อทำกิจธุระ แล้วผมก็ปรากฏตัวอีกครั้งในอีกสามนาที แน่นอนต้องมีการจัดเตรียมหลายเรื่อง ทีมงานไม่มีเวลาแม้แต่จะทารองพื้นให้ผม ก็ผมมาสายนี่นา
มีเวลาให้คนละ 3-4 นาที ผมใช้เวลาไปประมาณ 6 นาทีของการถ่ายทอดสด 6 นาทีอันมีค่าของผม
ผมพูดว่าถ้าจะต้องปฏิรูป สิ่งแรกที่ต้องปฏิรูปคือกองทัพ กองทัพต้องมีขนาดเล็กลง ไม่ควรมีที่ตั้งในเขตเมือง และกองทัพต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หากมีการรัฐประหารด้วยกำลังอาวุธไม่ว่าจากฝ่ายใดกองทัพต้องรับผิดชอบ และผมยืนยันว่าการอ้างสถาบันกษัตริย์ในการกระทำรัฐประหารเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นการดึงสถาบันฯ เข้ามาในปริมณฑลของการเมือง
แต่ผมก็เห็นว่าไม่สมควรจะใช้มาตรา 112 ลงโทษผู้กระทำผิดในลักษณะนี้
และต้องมีการแก้ไขมาตรา 112 ในกรณีของการฟ้องร้องเพื่อไม่ให้เป็นการกลั่นแกล้งกันไปมา
ตามคาด สิ่งที่ได้กลับคืนคือความเงียบ และผู้ดำเนินรายการที่เป็นพิธีกรของสถานีด้วย เตือนให้ทุกคนที่เหลือใช้เวลาให้กระชับเพราะยังต้องมีพิธีกรรมอื่นๆ อีก
ไม่น่าเชื่อ อาจจะเพราะมีการวางตัวไว้แล้ว ผมได้รับเชิญให้ร่วมแสดงความคิดเห็นในอีก 2 รายการของสถานีโทรทัศน์สาธารณะแห่งนั้น รายการแรกร่วมกับแกนนำการปฏิรูป ‘เดินหน้าประเทศไทย’
คำถามแรกเป็นคำถามที่แหลมคมที่พุ่งมาใส่ผมโดยตรง
“ก่อนหน้านี้ผมคัดค้านการปฏิรูป (ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์) ถึงขั้นไปประท้วงนอนตายให้คณะกรรมการปฏิรูปฯ(อานันท์ ปันยารชุน) เดินข้าม แต่ทำไมครั้งนี้ผมมาร่วมเวทีปฏิรูป”
ผมชี้แจงว่าครั้งนั้นรัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่งเสร็จสิ้นจากการสังหารหมู่ประชาชน การมีจัดเวทีปฏิรูปในช่วงเวลานั้นมีแต่ทำให้เกิดความแตกแยก เพราะยังไม่มี
กระบวนการยุติธรรมที่หาตัวคนผิดในทุกระดับ ทุกฝ่ายมาลงโทษ เราจะปฏิรูปกันได้อย่างไร แต่ผมก็ยืนยันว่าประเทศต้องการการปฏิรูปอยู่ตลอดเวลา
เพราะการปฏิรูปทำให้เราได้ทบทวนตัวเองและปรับปรุงตัวเองให้ทันยุคสมัยอยู่เสมอ แต่ผมมองว่าถ้ามองในแง่ความสำคัญก่อนหลัง เราก็ควรไปเลือกตั้งกันก่อนเพราะการปฏิรูปใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน อีกทั้งต้องการการมีส่วนร่วมของประชาชน ผมไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปด้วยวิธีการพิเศษ
อีกครั้ง เป็นเรื่องการเลือกตั้งโดยเฉพาะ ผมยังยืนยันว่าเราต้องไปเลือกตั้งกันก่อนตามลำดับความสำคัญ เพราะถ้าไม่มีกระบวนการเลือกตั้งทุกอย่างจะหยุดชะงักและขาดทางออกในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ถ้าฝ่ายต้องการปฏิรูปต้องการให้รัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งมีการปฏิรูปก็ต้องกดดันให้มีการทำสัญญาประชาคมก่อนลงคะแนนเสียง เหมือนครั้งในอดีตที่ประชาชนกดดันจนต้องมีสภาร่างรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น จนเรามีรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญเดียวที่ประชาชนมีส่วนร่วม
ส่วนฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปอีก 4 ท่าน เขาก็พูดถึงความจำเป็นของการปฏิรูปไป
…บางครั้งการอยู่เฉยๆ ปิดปากเงียบก็น่าจะดีกว่าการสร้างศัตรู ผมคิดถึงคำของมิตรสหาย
จะยักไหล่ให้ก็คงไม่ไหว เพราะแผงหลังผมน่าจะโดนหินปูนเกาะเสียแล้ว ผมไม่เคยคิดสร้างศัตรูแต่มิตรของผมจำนวนมากกลายมาเป็นศัตรูของผมเอง ก็อย่างว่าการใช้อารมณ์ความรู้สึกโดยก้าวข้ามหลักการและข้อมูลข้อเท็จจริงไว้ข้างหลัง มันไม่ได้เจ็บปวดแต่เพียงฝ่ายเดียวหรอก
ท่ามกลางฝูงชนหุบปาก ผมยืนยันว่าจะต้องปฏิรูปตัวเอง
22 ธันวาคม 2558