‘โอกาส’ ของการคอรัปชั่น

‘โอกาส’ ของการคอรัปชั่น

CorruptionOpportunityGraph

เรื่องเเละภาพ: ยรรยง บุญ-หลง

รัฐบาลที่เก่ง ต้องสามารถกำจัดคอรัปชั่นได้ เพราะมูลค่าทางเศรษฐกิจที่หายไปกับการคอรัปชั่นนั้น คิดเป็นจำนวนมหาศาล

โดยส่วนใหญ่รัฐบาลมักใช้วิธีจำกัด ‘การตัดสินใจ’ ของนักการเมืองให้น้อยลง เพื่อลดโอกาสของการคอรัปชั่น แต่วิธีนี้ยังเปิดโอกาสให้ข้าราชการประจำทำการคอรัปชั่นได้อยู่เหมือนเดิม

มีวิธีอื่นไหม ที่จะลด ‘การตัดสินใจ’ ของนักการเมืองและข้าราชการประจำ?

  1. ลองสมมุติ (แบบสุดโต่ง) ว่า ถ้าประชาชนมีสิทธิตัดสินใจในทุกเรื่องและทุกนโยบายเลย ไม่ว่าเป็นเรื่องเล็กแค่ไหนก็ตาม ผ่านทางระบบที่คล้ายกับ Online Banking … โอกาสที่นักการเมืองจะได้ตัดสินใจก็กลายเป็นศูนย์ โอกาสของคอรัปชั่นก็วิ่งเข้าหาศูนย์เช่นกัน (มุมขวาของกราฟ)

แน่นอน การซื้อเสียงอาจยังเกิดขึ้นได้ แต่เนื่องจากผู้อุปถัมภ์ต้องจ่ายเงินตลอดเวลาในเรื่องเล็กๆ ทุกเรื่องที่มีการโหวต เรืองโลจิสติกส์ของการจ่ายเงินจะยากลำบากขึ้นมาก

และที่สำคัญ ความสามารถที่จะรับรู้ว่าใครโหวตให้แก่เรื่องอะไรบ้าง… ระบบออนไลน์สามารถตั้งค่าให้ผู้โหวต ทำการโหวตได้โดยไม่มีหลักฐานว่ามาจากเขตไหน ผู้อุปถัมภ์ซื้อเสียงจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขตไหนโหวตเรื่องอะไรบ้าง จะได้ข้อมูลเพียงผลโหวตโดยรวมเท่านั้น

  1. คราวนี้ลองสมมุติ (แบบสุดโต่ง) ว่า ประชาชนไม่มีสิทธิตัดสินใจอะไรเลย โอกาสที่นักการเมืองจะทำการคอรัปชั่นย่อมพุ่งขึ้นสูงตามแกน Y ของกราฟ

… แต่นั่นเป็นเพียงแค่ ‘โอกาส’ ที่จะทำการคอรัปชั่น ไม่ได้หมายความว่าผู้มีอำนาจเหล่านั้นต้องทำการคอรัปชั่นเสมอไป ผู้นำเกาหลีเหนือ Kim Jong-un อาจเป็นผู้นำที่ดีงาม ตั้งอยู่ในจารีตและศีลธรรมอันดีก็ได้

แต่เราก็ไม่มีทางมองเห็นได้….

จุด ‘n’ ในกราฟ

คือจุดที่ประชาชนเริ่มที่จะสามารถมองเห็นการตัดสินใจต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ถ้ายิ่งเคลื่อนไปทางด้านขวา เราก็ยิ่งมองเห็นการตัดสินใจต่างๆ ได้ง่าย

ในทางกลับกัน ถ้ายิ่งเคลื่อนไปทางซ้ายของจุด ‘n’ มากเท่าไร เราก็จะเริ่มมองไม่เห็นการตัดสินใจต่างๆ ของนักการเมืองและข้าราชการมากขึ้นเท่านั้น

จุด ‘D’ ในกราฟ

เป็นโมเดลของระบบการเมืองของประเทศบางประเทศ ที่ประชาชนมีสิทธิตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้น้อยมาก ในขณะเดียวกันพวกเขาก็มีโอกาสรับรู้และมองเห็น ‘คอรัปชั่น’ ได้น้อยมากเช่นกัน พวกเขาอาจรู้สึกดีที่ประเทศไม่มีการคอรัปชั่น (เพราะพวกเขามองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้)

จุด ‘B’ ในกราฟ

คือประเทศที่เริ่มมีการโหวตโดยประชาชน แต่ไม่บ่อยครั้งนัก และเป็นประเทศที่ประชาชนสามารถมองเห็นการคอรัปชั่นของนักการเมืองได้ไม่ยากอีกด้วย … คนในประเทศนี้มักไม่พอใจ และไม่มีความสุขกับระบบการเมืองของตน เพราะแม้พวกเขาได้มีโอกาสตัดสินใจ (โหวต) แต่ก็ยังเห็นการคอรัปชั่นรอบตัวอยู่ตลอดเวลา คนในประเทศเหล่านี้อาจมีความต้องการกลับไปที่จุด ‘D’ เพราะอย่างน้อยก็มีความสุข ไม่ต้องรับรู้การคอรัปชั่นเหมือนการอยู่ที่จุด ‘B’

จุด ‘A’ ในกราฟ

คือประเทศที่มีการโหวตประชามติโดยตรงจากประชาชนบ่อยครั้ง ไม่ว่าเป็นนโยบาย หรือที่เรียกกันว่า proposition ต่างๆ

ประชาชนที่อยู่ในเมืองอย่าง ซานฟรานซิสโก จะต้องเหน็ดเหนื่อยกับการอ่านและศึกษานโยบายต่างๆ ที่พวกเขาเองเป็นผู้เสนอขึ้นไปเพื่อการโหวต

แต่พวกเขาก็จะเห็นการคอรัปชั่นลดน้อยลงไปมากเช่นกัน เพราะนักการเมืองไม่ได้เป็นผู้ตัดสินนโยบายต่างๆ …. นักการเมืองและข้าราชการกลายเป็นเพียงผู้จัดการนโยบายให้สำเร็จลุล่วงไปเท่านั้น ไม่ได้มีโอกาสในการเลือกนโยบายโดยตรง

ในปัจจุบัน ประเทศบราซิลได้ใช้ระบบ e-voting (Electronic Voting) มานานเกือบ 20 ปีแล้ว โดยเครื่องโหวตดังว่าสามารถนำไปตั้งไว้ได้ทุกที่ และง่ายต่อการตรวจสอบระบบโดยองค์กรสากล (เครื่องโหวตสามารถแกะออกมากตรวจได้โดยง่าย) เป็นผลให้งบประมาณที่ต้องใช้ในการโหวตประชามติลดลงไปมาก

เมื่องบประมาณในการทำประชามติแต่ละครั้งลดลงไปมาก รัฐบาลก็ทำประชามติได้บ่อยครั้งขึ้น

ประเทศตะวันตกก็เริ่มตื่นตัวเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ในระดับเมืองและเขต ได้มีการให้ประชาชนโหวตประชามติ (ออนไลน์) ว่าจะใช้งบประมาณรัฐอย่างไรบ้าง

ในปัจจุบันเราใช้ระบบที่ทันสมัยโอนเงินผ่าน e-Banking โดยใช้มือถือ เราใช้ระบบการหาแฟนผ่าน Line และ WeChat …. แต่ทำไมพอมาถึงเรื่องการเมือง เรากลับใช้ระบบโบราณที่ จอร์จ วอชิงตัน ใช้เมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว ?

…. หรือว่าเรื่องเงิน กับ เรื่องแฟน มันสำคัญกว่าเรื่องการเมือง!

CrowdReferendum2
กราฟตัวอย่างระบบการตัดสินใจ และโหวตออนไลน์

author

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง related posts

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

Prev

June 2025

Next

Mon

Tue

Wed

Thu

Fri

Sat

Sun

26
27
28
29
30
31
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
1
2
3
4
5
6

10 June 2025

Nothing to show.

เข้าสู่ระบบ