พลเมืองโต้กลับจัดกิจกรรม ‘พลเมืองรุกเดิน’ เพื่อเดินเข้าค้นหาความยุติธรรม 14 – 16 มี.ค.นี้ ตามแนวคิด ‘เมื่อความยุติธรรมไม่มา ก็เดินหน้าไปหามัน’ เรียกร้องยุติใช้ศาลทหารพิจารณาคดีกับพลเรือน จากบางบัวทอง-สน.ปทุมวัน ระยะทางร่วม 50 กิโลเมตร
12 มี.ค. 2558 เฟซบุ๊กเพจพลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen เผยแพร่วีดีโอคลิป I Walk Therefore I Am ฉันก้าวเดินฉันจึงยังเป็นฉัน รณรงค์กิจกรรม ‘พลเมืองรุกเดิน’ เพื่อเดินเข้าค้นหาความยุติธรรม ตามแนวคิด “เมื่อความยุติธรรมไม่มา ก็เดินหน้าไปหามัน” เรียกร้องยุติใช้ศาลทหารพิจารณาคดีกับพลเรือน 14 – 16 มี.ค.นี้ จากบางบัวทอง-สน.ปทุมวัน ระยะทางร่วม 50 กิโลเมตร เพื่อเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน
คลิปดังกล่าวมีเนื้อหา ดังนี้
ฉันก้าวเดินฉันจึงยังเป็นฉัน
ฉันวาดฝันรุกมั่นสู่จุดหมาย
แม้ดาวดับลับเลือนไม่พรั่งพราย
หากในกายยังคงรุมสุมเชื้อไฟ
ฉันจึงสู้เพื่อให้ฉันยังรู้สึก
ในสำนึกที่ฉันยังต้องเรียกหา
คนเท่ากัน ฉันและเธอ มวลประชา
สิทธิสัญญาว่ารวยจนทุกคนมี
จะกู่ก้องร้องตะโกนด้วยตัวฉัน
ตะโกนลั่นร้องหาสิทธิถูกริดปล้น
เสียงจะดังด้วยพร้อมเพรียงเสียงมวลชน
เสียงของคนใช่ทาสหากเป็นไท
ฉันก้าวเดินฉันจึงยังคงอยู่
จงรับรู้ว่าฉันจะมิอาจเชื่อง
ประชาชนจะนำแสงเป็นฟันเฟือง
พลเมืองจะโต้กลับรุกเอาคืน
I walk, therefore i am
Crossing through injustice sand
Pathway holds no light
But together we will fight
I fight, therefore i am
Seeking for a justice land
Where people are all equal
Where rights promise to all individual
I shout, therefore i am
Calling for the rights of man
Voices will be heard on streets
the people will be taking the lead
I walk, therefore i am
Crossing through injustice sand
In the end there will be lights
Of the Resistant citizen who will rise.
พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หรือพ่อน้องเฌอเยาวชนนักกิจกรรมที่ถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุม ปี 2553 เปิดเผยถึงกิจกรรม “พลเมืองรุกเดิน” ระหว่างเข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกต่อประมุขฝ่ายตุลาการผ่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เรียกร้องให้ข้าราชการฝ่ายตุลาการยืนยันอำนาจตามรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่จะดำเนินการพิจารณาคดีพลเรือนทุกคนในศาลอาญา ร่วมกับนักกิจกรรมกลุ่มพลเมืองโต้กลับว่า เป็นการเดินทางเพื่อเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวนจากบางบัวทองไปยัง สน.ปทุมวัน
พันธ์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่า เนื่องจากระยะทางไกลร่วม 50 กิโลเมตร จึงต้องออกเดินตั้งแต่วันเสาร์ที่ 14 มี.ค. และคาดว่าจะไปถึง สน.ปทุมวันในเวลาประมาณ 13.00 น.ของวันจันทร์ที่ 16 มี.ค.
“กิจกรรมพลเมืองรุกเดินไม่ใช่การกดดันกระบวนการยุติธรรม แต่เป็นการพิสูจน์ว่าเมื่อกระบวนการยุติธรรมไม่มาหาคุณ คุณก็ต้องเดินไปหามัน และเราจะเดินผ่านเส้นทางที่เป็นหมุดหมายสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็นปฏิปักษ์รัฐประหาร เช่น จุดที่ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ผูกคอตายเพื่อพิสูจน์คำพูดของทหารที่ว่า ‘ไม่มีใครยอมตายเพื่อประชาธิปไตย’ อันเป็นความเชื่อผิดๆ ของทหารที่ฝักใฝ่เผด็จการแต่ปากอ้างประชาธิปไตย หรือหมุดเฌอ บริเวณซอยรางน้ำซึ่งลูกชายผมเสียชีวิต เพื่อสื่อให้สังคมได้ทราบว่าผู้ที่ตายจากการสลายการชุมนุมไม่ได้มีแต่คนเสื้อแดง และถึงคุณจะอยู่นอกเขตการชุมนุม ทหารก็ฆ่าคุณได้แม้คุณจะเป็นเด็กก็ตาม” นายพันธ์ศักดิ์ กล่าว
พันธ์ศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า ระหว่าง 2 คืนของการพักค้าง พลเมืองโต้กลับยังได้จัดกิจกรรมเสวนาและกิจกรรมอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้รักประชาธิปไตย ส่วนรายละเอียดกิจกรรม ‘พลเมืองรุกเดิน’ และเส้นทางนั้น ทางพลเมืองโต้กลับขอเก็บไว้เป็นความลับก่อนที่จะเปิดเผยทางหน้าแฟนเพจของพลเมืองโต้กลับในเฟซบุ๊กอีกครั้งหนึ่ง
ด้านอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า การมายื่นหนังสือในวันนี้ รวมทั้งการแสดงความเห็น การตั้งคำถาม การปฏิเสธให้ความร่วมมือ การประท้วง ดื้อแพ่งอย่างสันติวิธี เป็นสิ่งที่พลเมืองกระทำได้ตามกฎหมาย ประการสำคัญ มันยังเป็นส่วนสำคัญที่แยกไม่ออกจากศักดิ์ศรีแห่งการเป็นพลเมือง ที่ย่อมมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบอำนาจรัฐที่มีอำนาจมหาศาล การดำเนินคดีต่อพลเรือนที่ดื้อแพ่งต่อการปกครองของเผด็จการทหารโดยศาลทหาร จึงเสมือนการบังคับข่มเหงต่อสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง ให้ต้องสยบยอมต่อระบบอำนาจนิยมของทหารนั่นเอง
อานนท์ กล่าวว่า พลเมืองโต้กลับมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมตามหลักสากล และอาศัยสิทธิของผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เราจึงขอเรียกร้องให้ข้าราชการฝ่ายตุลาการทุกคนยืนหยัด และยืนยันอำนาจตามรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่จะดำเนินการพิจารณาคดีพลเรือนทุกคนในศาลอาญา มากกว่าที่จะปล่อยให้พลเรือนเผชิญชะตากรรมในกระบวนการยุติธรรมที่กระท่อนกระแท่นของศาลทหาร
“ขอท่านได้โปรดดำรงไว้ซึ่งเกียรติแห่งข้าราชการฝ่ายตุลาการ อย่าได้หวั่นหวาดไปตามอำนาจอันป่าเถื่อนของคณะรัฐประหาร ที่จะใช้อำนาจมาแทรกแซงในการปฏิบัติหน้าที่ของท่านให้บิดเบี้ยวไปจากกระบวนการยุติธรรมตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม และทำหน้าที่ของท่านด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมเพื่อดำรงไว้ซึ่งกระบวนการยุติธรรมและจรรยาบรรณในวิชาชีพ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายสืบต่อไป” ทนายนักสิทธิมนุษยชน กล่าวในตอนท้าย
ทั้งนี้ พลเมืองโต้กลับ 4 คน ที่ถูกตั้งข้อหาคดีฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จากการจัดกิจกรรมเลือกตั้งที่ “ลัก” เมื่อวันที่ 14 ก.พ.2558 และจะต้องถูกส่งขึ้นพิจารณาคดีที่ศาลทหารนั้น ล้วนแต่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกรณีการสั่งสังหารประชาชนและสั่งสลายการชุมนุมใน ปี 2553 และการกระทำรัฐประหาร 2557 ทั้งสิ้น เช่น นักศึกษาและนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย, ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ดูแลคดีการชุมนุมทางการเมือง 2553 คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีละเมิดกฎอัยการศึก ฯลฯ และญาติผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม ปี 2553 เป็นต้น
ที่มา: พลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen