กลุ่มนักวิชาการเดินหน้าจัดกิจกรรม “ผู้เฒ่าขอขมา-รดน้ำดำหัวเยาวชน” หน้าประตู ม.ธรรมศาสตร์ หลังมหาวิทยาลัยสั่งห้ามใช้พื้นที่ ส่วนที่เชียงใหม่จัด “ดำหัวคนเฒ่า เยาวชนก็เช่นกัน” นิธิ ระบุ ขออโหสิกรรมแก่คนรุ่นใหม่ที่ต้องรับมรดกอันมืดมนทางประชาธิปไตย
11 เม.ย.58 เมื่อเวลา 16.00 น. ที่วัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่ มีการจัดงานรดน้ำดำหัวขอขมาเยาวชน ในชื่อกิจกรรม “ดำหัวคนเฒ่า เยาวชนก็เช่นกัน” นำโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์, อานันท์ กาญจนพันธุ์, ชัชวาล ปุญปัน, ชำนาญ จันทร์เรือง, สมฤทธิ์ ลือชัย ฯลฯ โดยนิธิ เอียวศรีวงศ์ อ่านแถลงการณ์ถึงคนรุ่นใหม่ ขอโทษเยาวชนที่ไม่สามารถรักษาประชาธิปไตยไว้ให้คนรุ่นหลัง
“คำขอขมา”
นับตั้งแต่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นต้นมา ประเทศไทยและสังคมไทยก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยน ผ่านที่กว้างใหญ่เพราะกระทบถึงคนทุกกลุ่ม และลึกถึงระดับฐานรากของสังคม จากประเทศด้อยพัฒนาที่มีคนจนอยู่จำนวนมาก กลายเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง ผลจากความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิด
กลุ่มที่มีผลประโยชน์เฉพาะด้าน, มีสำนึกใหม่ถึงอัตลักษณ์เฉพาะของตนเอง, ยึดถืออุดมคติทางการเมืองที่แตกต่างกัน, มีความใฝ่ฝันต่ออนาคตที่ไม่เหมือนกัน, และมีความจำเป็นต้องเข้ามาต่อรองนโยบายสาธารณะระดับชาติและท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สภาวะเช่นนี้ย่อมสร้างความขัดแย้งระหว่างคนกลุ่มต่างๆ เป็นธรรมดา วิถีทางเดียวที่จะทำให้ความขัดแย้งเช่นนี้ดำเนินไปได้โดยปราศจากความรุนแรง คือระบอบประชาธิปไตย ทั้งในแง่การเมืองการปกครองและความสัมพันธ์ทางสังคมของคนกลุ่มต่างๆ แม้มีความพยายามของคนรุ่นเรา ซึ่งกลายเป็นคนสูงอายุไปแล้วในบัดนี้ ในอันที่จะเสริมสร้างพลังของประชาธิปไตยในด้านการเมืองการปกครอง และขยายประชาธิปไตยให้เป็นหลักเกณฑ์สำคัญของความสัมพันธ์ทางสังคม แต่คนรุ่นเราก็ประสบความล้มเหลวนอกจากหลักความสัมพันธ์บนฐานประชาธิปไตยถูกชนชั้นนำบางกลุ่มเยาะหยัน และประเมินค่าไว้ต่ำแล้ว
บัดนี้ แม้แต่รูปแบบของระบอบการปกครองประชาธิปไตยก็ถูกทำลายลงเพราะการรัฐประหารของกองทัพหากการณ์เป็นไปตามเจตนาของชนชั้นนำบางกลุ่มที่ร่วมในการยึดอำนาจครั้งนี้ ก็อาจคาดได้เลยว่า ระบอบประชาธิปไตยจะไม่มีอนาคตอะไรเหลืออยู่ในประเทศและสังคมไทยอีกเลย
นั่นหมายความว่า ความขัดแย้งของคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเมื่อสังคมได้พัฒนาไปสู่ความเฉพาะด้านมากขึ้น ทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรมเช่นเศรษฐกิจ และส่วนที่เป็นนามธรรมเช่นอุดมคติทางสังคม จะกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรง สูญเสีย และไม่นำไปสู่ทางออกที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย หรือแก่ส่วนรวม
และนี่คือประเทศและสังคมไทยที่คนรุ่นเราจะต้องส่งมอบให้แก่คนรุ่นท่าน เป็นมรดกแห่งความมืดมนไร้อนาคต แต่ก็เป็นมรดกที่ท่านปฏิเสธไม่ได้ จึงอยู่ที่ตัวท่านเองว่า จะใช้กำลังสติปัญญาและความร่วมมือกันอย่างไร จึงจะกู้แสงสว่างและอนาคตกลับคืนมาแก่มรดกชิ้นเดียวที่มีอยู่ร่วมกันนี้
คนรุ่นเราทั้งเสียใจและละอายใจที่ต้องส่งมอบมรดกซึ่งถูกกระทำย่ำยีจนเละเทะนี้แก่ท่าน คนรุ่นเราคงไร้สติปัญญา ไร้จิตใจอันกล้าแกร่งพอจะรับมรดกประชาธิปไตยของคณะราษฎรและ ๑๔ ตุลา เพื่อสืบทอดความดีงามของประชาธิปไตยแก่ท่านได้
ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ครั้งนี้ พวกเราจึงใคร่ขอขมาต่อความผิดพลาด ความอ่อนแอ และความโง่เขลาของเราที่ผ่านมาทั้งหมด ด้วยความหวังว่าจะได้รับอโหสิกรรมจากพวกท่านซึ่ง ต้องรับผิดชอบต่อมรดกที่ไร้ค่าชิ้นนี้
จากนั้นจึงมีพิธีรดน้ำดำหัวเพื่อขอขมาเยาวชน
ตัวแทนเยาวชนได้อ่านแถลงการณ์ โดยระบุว่าการยอมรับความผิดพลาดของผู้ใหญ่ต่อหน้าเด็ก หาได้ยากในสังคมไทย
“ถ้อยความของผู้สืบทอด”
นับตั้งแต่วันที่เราจำความได้ เราเติบโตมาบนแผ่นดินนี้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของอุดมการณ์ทางการเมือง ตลอดจนความขัดแย้งและความรุนแรง เราเฝ้ามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างมันเป็นมรดกจากคนรุ่นก่อน และตกผลึกกลายเป็นความคิดแก่คนรุ่นหลัง
เดิมที พวกเราเป็นเพียงคนรุ่นหลังที่พวกท่านคิดว่าอ่อนความรู้และประสบการณ์ มองโลกไม่ไกลเท่าคนเจนโลกอย่างพวกท่าน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือหาทางออกจากปัญหาเดิมๆ เหล่านี้ได้? วันนี้พวกท่านเผชิญกับวังวนของปัญหาทางการเมืองที่มองไม่เห็นอนาคต พวกท่านนึกถึงเรา
ในสังคมไทยมีถ้อยคำที่กล่อมเกลาเด็กมากมาย มันเป็นคำที่ผู้ใหญ่เสี้ยมสอนและส่งมอบให้เรายึดถือ เพื่อสืบทอดอุดมการณ์และการพัฒนาประเทศในวันข้างหน้า วันนี้ เราได้รับฟังการขอขมาจากคนรุ่นท่าน การยอมรับความผิดพลาดของผู้ใหญ่ต่อหน้าเด็กเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งในสังคมไทย
พวกเราขอบคุณพวกท่านด้วยใจจริงสำหรับการส่งมอบอนาคตให้แก่พวกเรา เรารับรู้ได้ถึงคุณค่าของมรดกชิ้นนี้ มันเต็มไปด้วยความมืดมน ความรู้สึกผิด และความหวัง มรดกชิ้นนี้เราไม่สามารถปฎิเสธมันได้ แม้จะไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าจะกอบกู้แสงสว่างให้กลับคืนมาได้อีกครั้งหรือไม่ แต่เราจะทำอย่างเต็มที่ด้วยสติปัญญาและหัวใจ ขอเพียงพวกท่านอย่าปิดกั้นการแสดงออกซึ่งเจตจำนงค์ของพวกเรา ต่อมรดกชิ้นเดียวที่ท่านส่งมอบให้เรา
จากนี้ไป เราจะขอรับมรดกอันทรงคุณค่านี้ไว้ในความรับผิดชอบของเรา เราจะไม่ละทิ้งไม่หลีกหนี และก้าวเดินไปกับมันด้วยความเข้มแข็งเราจะเขียนเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง บอกเล่าถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่คาบเกี่ยวระหว่างคนรุ่นเราและท่าน บอกเล่าถึงข่าวความหวังจากคนรุ่นเราให้คนรุ่นท่านได้รับฟัง เราได้รับมรดกจากท่านมาแล้ว ขอให้ท่านจงสบายใจและเฝ้ามองความเป็นไปร่วมกับเรา
ในโอกาสวันปีใหม่ครั้งนี้ เราขออโหสิกรรมให้พวกท่าน พวกเราเองไม่ได้โกรธแค้นต่อสิ่งที่ท่านไม่สามารถรักษาไว้ให้ไว้กับคนรุ่นเราได้ แต่เราจะเป็นผู้สืบทอดภาระกิจการสร้างประชาธิปไตย บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความกล้าหาญและความเป็นธรรมให้งอกงามบนผืนแผ่นดิน และหากคนในรุ่นเรายังทำไม่สำเร็จ เราเชื่อว่าเจตจำนงค์แห่งเสรีภาพและเสมอภาคจะถูกส่งต่อคนในรุ่นต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของการจัดงาน รองเจ้าอาวาสวัดอุโมงค์ได้เข้ามาแจ้งต่อผู้จัดงานว่ากิจกรรมที่ดำเนินอยู่อาจจะขัดต่อกฎหมาย จึงอยากจะขอให้รวบรัดกิจกรรมให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ทั้งนี้ ก่อนเสร็จสิ้นกิจกรรม ผู้ร่วมงานได้ร้องเพลง “บทเพลงของสามัญชน” ร่วมกัน ก่อนแยกย้ายกันกลับโดยไม่ได้ถูกขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจหลายสิบนาย ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ซึ่งมาประจำการอยู่โดยรอบ
ภาพจาก: Art Suriyawongkul
ในช่วงเวลาเดียวกัน บริเวณหน้าประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฝั่งท่าพระจันทร์ กลุ่มนักวิชาการจัดกิจกรรม “ผู้เฒ่าขอขมา-รดน้ำดำหัวเยาวชน” นำโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อธึกกิต แสวงสุข, พวงทอง ภวัครพันธุ์, ศรีประภา เพชรมีศรี, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, พนัศ ทัสนียานนท์, สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, อภิชาต สถิตนิรามัย ฯลฯ
ทั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนสถานที่จัดงานจากเดิมคือที่ลานปรีดีฯ ภายใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังมีคำสั่งจากทางมหาวิทยาลัยให้งดใช้พื้นที่ในการทำกิจกรรม เนื่องจากมีการกำชับมาจากทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่ากิจกรรมนี้มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงทางการเมือง
ประชาไท รายงานว่า ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวเเถลงในงานว่า รู้สึกเสียใจที่มาธรรมศาสตร์วันนี้แล้วไม่สามารถเห็นประชาชนเข้าไปด้านในมหาวิทยาลัยได้ เพราะกระดาษคำสั่งปิดมหาวิทยาลัยเพียงแผ่นเดียว ตนรู้สึกเศร้าที่เห็นบ้านเมืองเป็นอย่างทุกวันนี้ แต่ความโศกเศร้าเสียใจไม่ควรจะเกิดขึ้นกับเยาวชน คนรุ่นใหม่ ความเศร้าเป็นของคนรุ่นตนเพียงรุ่นเดียว คนรุ่นใหม่จะต้องมีความหวัง และทำอะไรได้อีกเยอะเพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น ตนเชื่อว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่ฟ้าเปิด ส่วนวันนี้พวกเราต้องอดทน เชื่อว่าต้องมีสักวันที่เป็นของเรา
“ผมขอโทษครับ ที่มาพูดเรื่องนี้ที่นี่” ชาญวิทย์ กล่าว