เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือออกแถลงการณ์จัดการน้ำให้ตรงตามความต้องการในพื้นที่ จี้ถอนโครงการตามแผนบริหารจัดการน้ำ ๑๐ ปีวงเงิน ๙.๘ แสนล้านบาท ก่อนการปฏิรูปบริหารจัดการน้ำแล้วเสร็จ
วันนี้ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือ (คปน.) ออกแถลงการณ์เรื่อง ปฏิรูปการบริหารจัดการน้ำให้ถูกต้องตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่
รายละเอียดระบุว่าตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีคำสั่งที่ ๘๕/๒๕๕๗ แต่งตั้งคณะกรรมการกําหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เพื่อกำหนดกรอบนโยบายและแผนงานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯลฯ
ต่อมา คณะกรรมการดังกล่าวมีคำสั่งที่ ๓/๒๕๕๗ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามนโยบายพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกของประเทศไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลสูงสุด รวมทั้งมีการบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่
แต่ปรากฏว่า ขณะที่แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำยังไม่แล้วเสร็จ อธิบดีกรมชลประทาน ในฐานะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการกําหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และในฐานะอนุกรรมการและเลขานุการคณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯ รวมทั้งเลขานุการและกรรมการบางท่าน กลับรวบรัดตัดตอนแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ ด้วยการนำโครงการต่างๆ บรรจุลงไปในแผนบริหารจัดการน้ำ และไม่นำความเห็นของภาคประชาชนจากเวทีรับฟังทั้ง ๙ เวทีทั่วประเทศมาประมวลร่วมในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ ทั้งๆ ที่คณะอนุกรรมการวิศวกรรมแหล่งน้ำ (วสท.) ได้ส่งหนังสือเร่งรัดการแก้ไขร่างยุทธศาสตร์ฯมายังประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แต่คณะทำงานก็ยังแสดงท่าทีเพิกเฉย
นอกจากนั้น ในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำ ฉวยโอกาสในช่วงจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำยังไม่แล้วเสร็จ ผลักดันร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำที่ยกร่างขึ้นมาใหม่โดยกรมทรัพยากรน้ำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเร่งด่วน โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติรับหลักการและส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้กับคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไปแล้ว
เครือข่ายภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ในนามเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือ (คปน.) ขอประณามการกระทำดังกล่าวของบุคคลในคณะกรรมการกําหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และคณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯบางท่าน ที่รวบรัดขั้นตอน เพิกเฉย และไม่มีความจริงใจในการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในการปฏิรูปการบริหารจัดการน้ำ ให้ถูกต้องตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ดังความที่ปรากฏในคำสั่งที่ ๓/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗
ดังนั้น เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือ (คปน.) ขอเรียกร้องมายังคณะกรรมการกําหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการกําหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและคณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯ แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักวิชาการและไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยการเอาความเห็นของภาคประชาชนจากเวทีรับฟังทั้ง ๙ เวทีทั่วประเทศมาประมวลร่วมในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำด้วย
๒. ในช่วงที่มีการปฏิรูปประเทศทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปการบริหารจัดการน้ำ ขอเรียกร้องให้กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดการน้ำ รวมถึงบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแสดงความจริงใจในการปฏิรูปการจัดการน้ำที่เน้นการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนเหนือผลประโยชน์ใดๆ
๓. ให้กรมชลประทาน บุคคล และหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการบรรจุโครงการต่างๆ ไว้ในแผนบริหารจัดการน้ำ ๑๐ ปีที่มีวงเงิน ๙.๘ แสนล้านบาท ถอนโครงการออกจากแผนบริหารจัดการน้ำดังกล่าวก่อน รอจนกว่าการปฏิรูปการบริหารจัดการน้ำแล้วเสร็จ
๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้นำร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำออกมาแก้ไขโดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมืองในกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งขาติ และ
ให้ร่วมกับสภาปฏิรูปแห่งชาติในการเสนอความเห็นเพื่อเป็นแนวทางเดียวกัน
๕. ในสถานการณ์ปฏิรูปประเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการปฏิรูปประเทศ ดังนั้นจึงขอเรียกร้องทุกหน่วยงานสร้างความเป็นเอกภาพ ด้วยการบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปกับสภาปฏิรูปแห่งชาติ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำจนสร้างความสับสนให้กับประชาชนดังที่เป็นอยู่ในเวลานี้
เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือ (คปน.) บอกว่า พวกเขาหวังว่าคณะกรรมการกําหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และคณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯ นโยบายและแผนงานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบางท่าน มีความอาจหาญทางจริยธรรมพอที่จะดำเนินการปฏิรูปการบริหารจัดการน้ำให้ถูกต้องตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง หากยังเพิกเฉยจะขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้การปฏิรูปการบริหารจัดการน้ำถูกต้องตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ต่อไป
เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือ (คปน.)
๑. สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
๒. สถาบันอ้อผะหญา (องค์กรสาธารณประโยชน์)
๓. คณะกรรมการคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้น ยมบน-ยมล่าง จังหวัดแพร่
๔. เครือข่ายลุ่มน้ำยม จังหวัดแพร่
๕. คณะกรรมการคัดค้านเขื่อนแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
๖. เครือข่ายชุมชนรักษ์ป่าลุ่มน้ำแม่แจ่มตอนบน จังหวัดเชียงใหม่
๗. เครือข่ายคัดค้านเขื่อนแม่ขาน จังหวัดเชียงใหม่
๘. เครือข่ายคัดค้านเขื่อนห้วยตั้ง จังหวัดลำพูน
๙. เครือข่ายคัดค้านเขื่อนคลองชมภู จังหวัดพิษณุโลก
๑๐. เครือข่ายคัดค้านโครงการเขื่อนโป่งอาง จังหวัดเชียงใหม่
๑๑. เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบโครงการผันน้ำป๋าม จังหวัดเชียงใหม่
ภาคประชาชนพยายามมีส่วนร่วมกับการจัดการทรัพยากรน้ำต่อเนื่อง ในภาพเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในเวทีภาคประชาชนกับการปฏิรูปทรัพยากรน้ำ 15 ก.ย.57 ที่ห้องประชุมคณะสังคมศาสตร์ มช.
ความเห็นของภาคประชาชนจากเวทีรับฟังทั้ง ๙ เวทีทั่วประเทศในปี ๒๕๕๗ กลับไม่ถูกนำมาประมวลร่วมในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ
ชาวบ้านกับสายน้ำแม่แจ่ม