คอลัมน์ : เรื่องสั้น เรื่อง : กันต์ธร อักษรนำ ภาพศิลปกรรม: จุฑารัตน์ ขยันสลุง
“ทิศทางลมจะพาพวกเขาไปยังอินเดียหรือไม่ก็ที่อื่น”
พิม
มหาสมุทรอินเดียกว้างพอสำหรับเรือทุกลำ เรือสินค้า เรือบรรทุกน้ำมัน เรือประมง เรือทุกชนิดในโลก รวมถึงเรือของประเทศประเทศหนึ่งซึ่งกำลังล่องลอยไปสู่จุดหมายที่ใดสักแห่ง ใครบางคนกล่าวว่า ทิศทางลมจะพาพวกเขาไปที่ไหนสักแห่ง ไปอินเดีย หรือไม่ก็ที่อื่น เธอคิดถึง ที่อื่น ที่ที่เรือลำหนึ่งแออัดไปด้วยมนุษย์ผู้หญิง ผู้ชาย และเด็กๆ ซึ่งกำลังรอคอยอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่อาจจินตนาการถึงได้
แล้วเราล่ะเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ พิมคุยกับตัวเอง สิ่งที่เธอทำอยู่เสมอเวลาดูข่าว อ่านหนังสือ ดูหนัง ดูโทรทัศน์ หรือฟังสิ่งที่ชวนให้คิด พิมไม่ใช่คนที่จะกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปมาแก้เซ็งเหมือนคนไร้จุดหมาย ไม่เคยเหงา ไม่เคยรู้สึกเศร้ากับตัวเองแม้มีชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ แต่มักเศร้ากับสิ่งอื่น ความเศร้ามีเมล็ดพันธุ์อยู่ภายในมนุษย์ทุกคน เช่นเดียวกับความสุข แต่ความเศร้าลึกราวมหาสมุทร อยู่ในทุกวินาทีของลมหายใจ ในอดีต ในความทรงจำ มีพลังมหาศาลที่จะดึงมนุษย์คนหนึ่งให้ดิ่งลงไปยังที่ที่ต่ำที่สุดและมืดมิดที่สุดได้ พิมระวังตัวเองเสมอไม่ให้ตกไปสู่ที่แห่งนั้นนานเกินไป ซึ่งอาจนานจนกู่ไม่กลับ
มีสิ่งให้เธอคิดมากมายในโลกนี้ สมองพิมไม่เคยว่างจากการคิด คิดหาคำตอบ คิดตั้งคำถาม คิดหาความจริงบางอย่าง แม้หลายครั้งจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงจุดเล็กจุดหนึ่งไม่ต่างจากอณูหนึ่งในภาพเขียนแบบผสานจุดสี ‘บ่ายวันอาทิตย์บนเกาะลากร็องด์ฌัต’ ของ ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา แต่ความคิดเป็นสิ่งที่จุดประกายให้เกิดสิ่งยิ่งใหญ่ได้ พิมเชื่ออย่างนั้น
วันนี้ก็เช่นกัน พิมคิดถึงพวกเขา ชาวนาวาประเทศ ใครจะเรียกพวกเขาว่าอะไรก็ช่างเถิด
ความจริงแล้วหน้าตาพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างกับพวกเราคนเอเชียนัก ดูเหมือนคมเข้มกว่า และดูแข็งแรงกว่าด้วยซ้ำ เพียงแต่พวกเขาอาจหาอาหารดีๆ กินได้น้อยกว่าพวกเรามาก อยู่ในที่ที่แย่กว่าพวกเรามากมากก็เท่านั้นเอง พิมคิดเมื่อเห็นพวกเขาจากภาพข่าว จินตนาการเดินทางไกล ว่าประเทศบนเรือของพวกเขาคงสนุกไม่น้อย ได้ล่องไปในทะเล ได้เจอคลื่นลม ได้พบเกาะ และคนแปลกถิ่นมากมาย คนแปลกถิ่นที่อาจมองพวกเขาเป็นคนแปลกประหลาด เป็นมนุษย์เรือ เป็นแรงงานทาส ไปจนถึงชนชาติผู้ทรยศ
แต่ความจริงแล้วชาวนาวาประเทศห่างไกลจากพวกเรามากกว่านั้น พวกเขาเหมือนชนชาติไร้ตัวตน เหมือนประเทศที่วันหนึ่งอาจโผล่ขึ้นมาหลังหมอกยามเช้าในทะเล ก่อนหายไปอย่างไร้วี่แวว แล้วอีกวันเมื่อพายุฝนผ่านพ้นไปก็จะพบเรือของพวกเขาเกยตื้นอยู่บนเกาะที่ไหนสักแห่งในมหาสมุทรอินเดีย เผ่าพันธุ์ผู้เร่ร่อนไปตลอดกาลในดินแดนและผืนน้ำที่พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยประทานให้ เผ่าพันธุ์ที่พระเจ้าหลงลืมไปว่ามีอยู่จริง จึงไม่เคยแบ่งผืนดินผืนไหนในโลกให้พวกเขา
ชนชาติลึกลับหลังเทือกเขาอารากันโยมา ปฏิสัมพันธ์กับโลกผ่านแม่น้ำทุกสาย และผืนน้ำของอ่าวเบงกอลในมหาสมุทรอินเดียด้วยเรือ พาหนะโบราณที่พาพวกเขาล่องไปทุกถิ่นที่ในมหาสมุทร ก่อนที่วันหนึ่งอนารยชนจากทางเหนือจะมีชัยเหนืออารากัน ดินแดนอิสระ นครรัฐโบราณ ที่ซึ่งครั้งหนึ่งชนชาติหลากชาติพันธุ์ได้หลากไหลมาอยู่ร่วมกันในบริเวณลุ่มน้ำกาลาดัน ค้าขายข้าว งาช้าง ช้าง ไม้หอม หนังกวาง รวมทั้งนำเข้าฝ้าย ทาส ม้า หอยเบี้ย เครื่องเทศ สิ่งทอจากอินเดีย เปอร์เซีย และอาหรับ เจริญรุ่งเรืองจนกลายเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญของอ่าวเบงกอล
มีสายสัมพันธ์อันยาวนานระหว่าง ชาวพุทธ มุสลิม ฮินดู ไม่ต่างจากเมืองท่าของอาณาจักรในเอเชียทั้งหลาย ที่ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างมารวมกันตั้งแต่ครั้งโบราณ ในยุคค้าเครื่องเทศ ยุคที่เกิดการถ่ายเทความเชื่อทางศาสนาผ่านผืนน้ำและแผ่นดิน ผ่านการเมืองอันซับซ้อนสับสนวุ่นวายในยุคอาณานิคม จนมาถึงวันนี้ การจะเอ่ยอ้างว่าใครเป็นคนชาติไหนตั้งแต่ใดมา เคยครอบครองดินแดนตรงไหนกันมาก่อน บางครั้งยากเย็นเหมือนการตรวจดีเอ็นเอหาพ่อของเด็กกำพร้าสักคนหนึ่ง – แต่นั่นเราจะปล่อยให้เป็นเรื่องของนักประวัติศาสตร์นิพนธ์
ก่อนที่พวกจักรวรรดินิยมจะเข้ามา ก่อนที่แผนที่สมัยใหม่ถูกร่างสร้างขึ้น ขีดลากเส้น แบ่งเขาแบ่งเรา ใครจะรู้บ้างว่าในเอเชียของเรา มีนครรัฐอิสระอยู่มากมายเพียงใด ก่อนที่การจัดระเบียบสังคมสมัยใหม่จะเริ่มขึ้น มีชนชาติ เผ่าพันธุ์ ภาษามากมายเพียงใดที่มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง ก่อนถูกกลบ ถูกกลืน ถูกลบ… แล้วเลือนหายไปราวกับปราสาททราย
ในโลกที่หลายคนประกาศว่า ‘ฉัน’ ไร้เพศ ไม่มีศาสนา ไม่ใช่คนของที่นี่หรือว่าที่ไหน
แต่นั่นคือเรื่องของคนที่มีประเทศให้อาศัย มีบ้าน มีศาสนา มีพรมแดน มีอาณาเขต
พรมแดนนั้นมีอยู่จริง เชื่อสิ แต่มันไม่ใช่เส้น
กำแพงแห่งปัจเจกชนแยกเราออกจากกัน
ทำให้เราห่างไกลกัน ไม่รู้จักกัน
พวกเขาก็เป็นแค่ขบถบนที่ดินของตัวเองที่ฝันว่าวันหนึ่งเสรีภาพจะนำโลกไปสู่จุดจุดนั้น
จุดสิ้นสุดของการแบ่งแยก เผ่าพันธุ์ ศาสนา อาณาจักร
ทั้งที่ความจริงทุกคนต่างมีอาณาจักรของตัวเอง
ในความเป็นจริงคือ ห้วงเวลาอันสับสนวุ่นวายของศตวรรษที่ 18 – 19 ต่อมาจนถึง 20 อินเดียเป็นเอกราชจากอังกฤษ บังคลาเทศแยกออกจากอินเดียเกิดเป็นประเทศใหม่ ปากีสถานแยกออกจากอินเดียเกิดเป็นประเทศใหม่ แต่อารากันไม่อาจแยกออกจากพม่า ชาวนาวาที่ไม่ใช่ชาวพุทธพยายามจะแยกแต่ไม่มีใครยอมรับ ผู้ชนะไม่ยอมเสียดินแดนแม้สักตารางนิ้วให้พวกเขา ส่วนดินแดนที่ครั้งหนึ่งนานมาแล้วพวกเขาเคยจากมาเมื่อเกิดการอพยพครั้งใหญ่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ก็ไม่ยอมรับพวกเขาเข้าเป็นพลเมือง ทั้งจะให้อาศัยอยู่ร่วมกันก็ไม่ได้แม้จะมีศาสนาเดียวกัน ทุกสิ่งแออัดยัดเยียดกันอยู่ที่นั่นมากเกินไปแล้ว ที่จิตตะกอง เบงกาลี สายน้ำสีดำขุ่นข้นเกินกว่าจะทิ้งสิ่งใดลงไปได้อีก และการเมืองนั้นซับซ้อนยิ่งกว่าลายผ้าทอพื้นเมือง
มีการบันทึกไว้ว่า ‘อังกฤษได้ส่งเสริมให้ชาวเบงกอลที่อยู่ในดินแดนใกล้เคียงอพยพเข้าไปตั้งรกรากในดินแดนอารากันในฐานะผู้ใช้แรงงานในฟาร์ม อังกฤษได้ยกเลิกเขตแดนระหว่างเบงกอล (ปัจจุบันคือประเทศบังคลาเทศ) และอารากัน (ปัจจุบันคือรัฐหนึ่งในพม่า) ทำให้ไม่มีข้อจำกัดในการอพยพระหว่างดินแดนในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ชาวเบงกอลนับพันจากจิตตะกอง (เมืองท่าทางตะวันออกเฉียงใต้ของบังคลาเทศ) ได้เข้ามาตั้งรกรากในอารากันและหางานทำ นักประวัติศาสตร์บันทึกว่าในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ชาวอินเดียเข้าไปตั้งรกรากในพม่าไม่ต่ำกว่าสองแสนห้าหมื่นคนต่อปี จำนวนผู้อพยพได้เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนถึงจุดสูงสุดในปี 1927 ซึ่งมีจำนวนผู้อพยพสูงถึงสี่แสนแปดหมื่นคน
ย่างกุ้งได้แซงหน้านิวยอร์คในการเป็นปลายทางของผู้อพยพสูงสุดในโลก’
ทุกวันนี้ชาวนาวาคือชนชาติที่มีเรือเป็นอาณาจักร ล่องไปตามน่านน้ำสากลและไม่สากล จากอ่าวเบงกอลสู่มหาสมุทรอินเดีย ล่องลอยเคว้งคว้างอยู่อย่างนั้น รอคอยที่จะพบดินแดนที่ไหนสักแห่งที่จะรับพวกเขาขึ้นไป พวกเขาอาจกลายเป็นมนุษย์น้ำได้สักวันหนึ่ง ไม่ก็อาจกลายเป็นเงือกได้หากอยู่ในทะเลนานพอ
แต่ตอนนี้พวกเขายังเป็นมนุษย์เรือ ลอยลำอยู่ในน่านน้ำของประเทศใดประเทศหนึ่งจนมีเจ้าหน้าที่ หรือมนุษย์จากโลกอื่นเดินทางมาพบเข้า เราก็จะได้เห็นชาวนาวาในภาพข่าวอีกสักพักในสภาพผ่ายผอมแห้งผาก ตาโรยอย่างคนสิ้นหวัง นอนก่ายเกยกันอยู่บนพื้นเรือประมง แออัดไปทั้งชาย หญิง และเด็กๆ
ทั้งหมดอยู่ในสภาพขาดน้ำและอาหารอย่างรุนแรง แน่นอนว่า บนเรือไม่มีที่ให้เพาะปลูก ไม่อาจทำนา ทำสวน ทำไร่ ไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากคน คน และคน พลเมืองของนาวาประเทศ มีผู้นำซึ่งอาจเรียกได้ว่า คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ… มีทุกตำแหน่งให้พวกเขาบนเรือลำนั้น
มีสิ่งเดียวที่พวกเขาไม่มีคือผืนแผ่นดิน
มนุษย์นาวาเจ้าจะลอยล่องไปยังที่แห่งใดอีก
ทะเลเห่กล่อมเจ้าด้วยคลื่นลมทรมาน
ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าโลกนี้ที่ใครสักคนบอกว่ากว้างนัก
กลับไม่มีผืนแผ่นดินให้พวกเจ้าได้อาศัย
สิ่งใดกันคือพันธนาการ
เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ การเมืองหรือว่าศาสนา
หรือว่าพวกเจ้าคือผลพวงของความไม่แน่ใจ
คือความลับซ่อนเร้นในดีเอ็นเอมนุษยชาติ
เดียวดายในประวัติศาสตร์ ในสงครามการแย่งชิงระหว่างมหาอาณาจักร
ก่อนที่จะพลัดหลงกับแม่ – มาตุภูมิของตัวเอง
แต่ข้าเชื่อว่า พวกเจ้าคือมนุษย์ และเคยได้อาศัยบนแผ่นดินมาก่อน
เช่นเดียวกับพวกเรา…
พิมเขียนบางสิ่งบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง ก่อนทิ้งมันไว้อย่างนั้นบนโต๊ะทำการบ้าน เธอต้องไปเรียนว่ายน้ำในอีกครึ่งชั่วโมง การมีเวลาว่าง เป็นสิ่งที่ดี ทำให้เธอได้นึกถึงสิ่งอื่นหรือคนอื่นที่ไกลจากตัวเองบ้าง ใช่ ไกลจากตัวเองบ้าง ก่อนจะกลับมาสู่ความจริงของตัวเองอีกครั้ง
ฉันเกิดที่นี่จึงต้องมีชีวิตอยู่ที่นี่สินะ เธอคิด
เธอนึกถึงบทกวีที่เคยอ่านบทหนึ่ง ที่บอกว่า ฉันไม่ใช่คนของที่นี่และไม่ใช่คนของที่ไหน
มนุษย์นาวาน่าจะเหมาะที่สุดที่จะเป็นคนแบบนั้น – ไม่ใช่คนของที่ไหนเลยในโลกใบนี้
เพราะสำหรับพิม การที่ใครสักคนจะมาบอกว่า ฉันไม่ใช่คนของที่นี่หรือคนของที่ไหน คุณก็ต้องมีที่สักแห่งหนึ่งให้อยู่ หรือไม่ก็น่าจะมีบ้านให้อาศัยก่อนสินะ ก่อนที่จะประกาศเอกราชในการดำรงอยู่ของตัวเอง
ดินสอไม้ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะกับกระดาษประกาศอิสรภาพทางความคิดหนึ่งแผ่น
เอกราช สัญชาติ ประเทศยังล่องลอยอยู่ในทะเล
สมสิทธิ์
มีคนถกเถียงกันมากมายว่าพวกเรามาจากไหน สมสิทธิ์ก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ สมสิทธิ์มีแม่ และคงออกมาจากแม่คนหนึ่งแน่ๆ และแม่ของแม่ของแม่ของแม่ของแม่ของแม่ของแม่… ของสมสิทธิ์อาจเคยอาศัยอยู่ในอาณาจักรยิ่งใหญ่สักแห่งเมื่อนานมาแล้ว – ในจิตตะกอง ในอินเดีย ในเบงกอล ในอารากัน ในมรัคอู ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ขนาบด้วยมหาอำนาจทั้งทางทิศใต้ ทิศเหนือ ตะวันออก ตะวันตก ก่อนที่ทุกสิ่งจะล่มสลาย พวกเขาผ่านประวัติศาสตร์อันน่าขันเช่นเดียวชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกคน ในช่วงสงครามระหว่างอาณาจักรพุทธ-มุสลิม มาจนถึงจักรวรรดินิยมอังกฤษ กระทั่งพวกเขากลายเป็นเผ่าพันธุ์กำพร้าไร้มาตุภูมิ ถูกผลักไสโยกย้ายไปมาระหว่างจิตตะกองและอารากัน ก่อนที่จะมาล่องลอยอยู่ในเรืออย่างไร้จุดหมายเช่นทุกวันนี้ ว่ากันว่าพวกเขาอาจคือลูกหลานของชาวอาหรับที่เดินทางค้าขายในดินแดนเหล่านี้มานานแล้วเมื่อหลายร้อยปีก่อนหรืออาจสักพันปีจนไม่มีใครจำได้ ในท่ามกลางมหาสงครามและมหาสมุทรกว้าง ใครจะรู้ได้
พวกเขาถูกตีตราว่าคือเผ่าพันธุ์ผู้ทรยศ อังกฤษทอดทิ้ง ปากีสถานปฏิเสธ บังคลาเทศไม่เอา พม่าไม่รับรอง มาเลเซียและอินโดนีเซียก็ไม่ต้องการ
ทุกวันนี้สมสิทธิ์ยังสงสัยว่าถ้ารอดชีวิตไปได้จากเรือลำนี้จะกลายเป็นอะไร เป็นใครสักคน หรือว่าไม่มีตัวตนตลอดไป
หรือว่า…
เราต่างคือชิ้นส่วนบาดเจ็บของวันเวลา
ฉีกขาด แหว่งวิ่น สูญหายอยู่ชั่วกาลนาน
ไม่พบสิ่งที่ยังอยู่
ทั้งไม่พบสิ่งที่หายไป
สมสิทธิ์พ่นถ้อยคำของเขาจำนวนหนึ่งลงไปในขวดเครื่องดื่มควายแดงแล้วปล่อยมันลงไปจากเรือ ให้มันมีอิสระไปตามทางของมัน หวังว่าสักวันหนึ่งมันคงเดินทางไปถึงพระเจ้า แล้วชัยชนะของถ้อยคำเหล่านั้นจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ในฐานะชาวนาวาประเทศ
เขามองขวดลอยไปจนลับสายตา มองราวกับมองเห็นอนาคตของตัวเอง เขาอยากเป็นขวดใบนั้น บรรจุถ้อยคำแล้วล่องลอยไปอย่างอิสระ อาจแตะขอบโลกที่ใดสักแห่งในโลกนี้ ไม่ก็โลกหน้า หากวันพิพากษามีจริง พระเจ้าคงพบและได้ฟังเสียงของสมสิทธิ์ หรือไม่มันก็อาจล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรชั่วกาลนานกลายเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นลม
หากโชคดีมนุษย์คนหนึ่งอาจได้ยิน
เด็กหญิงคนหนึ่งบนเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งอันไกลโพ้นของประเทศอินโดนีเซีย ชาวเลในหมู่เกาะสุรินทร์ ชาวพื้นเมืองในแถบทะเลแคริบเบียน พลเมืองของเกาะที่ไม่มีใครรู้จัก ผู้ฟังไม่รู้เรื่องว่ามันคือเสียงอะไร แล้วโยนทิ้งไป ขวดอาจกลับคืนสู่ทะเล ไม่ก็ไปลงถังขยะที่ไหนสักแห่งบนแผ่นดิน
สมสิทธิ์จินตนาการถึงการเดินทางของขวดควายแดงจนแสบตา ตาลาย เวียนหัว ท้องร้อง หิว…
เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากอยู่ตรงนี้ ไม่อยากเป็นคนของที่นี่ ที่เรือลำนี้
ไม่ ไม่ ไม่…
สมชาย
สมชายมาอยู่ที่นี่หลายเดือนแล้ว พ่อแม่ของเขาจากไปที่ไหนสักแห่งข้างล่างนั่น ที่นี่มอบชีวิตใหม่ให้เขา โรงเรียนประจำในภูเขา มอบชื่อใหม่ให้เขากับพี่ชาย พวกเขาเรียกเด็กสองคนว่า สมสิทธิ์กับสมชาย จากคำบอกเล่า พ่อของพวกเขาถูกฆ่าตาย ใครสักคนหนึ่งยิงพ่อต่อหน้าแม่และพี่ชาย แม่เขาขวัญผวาจนกลายเป็นคนไม่ปกติ พี่ตกใจจนอั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้ พวกเขาจึงถูกนำมาที่นี่ บนภูเขา ในป่า ในหุบเขาที่ที่มีลำธารไหลผ่าน
ไม่มีใครรู้ชัดว่าพวกเขามาจากที่ไหนกันแน่ หน้าตาคมเข้มแบบแขก ดวงตาดำ ผมดำ ผิวเข้ม ค่อยๆ ฝึกพูดภาษาไทย ฝึกอั้นอุจจาระ ปัสสาวะ ฝึกกินข้าว ฝึกทุกอย่างเท่าที่คนคนหนึ่งจะถูกฝึกได้
แม่เคยเล่าเรื่องสัตว์วิเศษชนิดหนึ่งให้ผมฟัง ว่ามันมีตาเหมือนกวาง มีงวง มีงา เหมือนช้าง มีลำตัวเหมือนงู มีขาเหมือนสิงโต มีหัวเหมือนเสือ มีหูเหมือนม้า มีปีกเหมือนนก และมีหางเหมือนนกยูง
ตัว บยาลา ดูเหมือน ก็อดซิลล่า สัตว์นำโชคของบ้านเธอ พิมบอกสมชาย เมื่อเธอได้คุยกับเขาในวันหนึ่งใกล้กับลำธาร พิมเดินทางมากับครอบครัว มาพักที่บ้านป่าริมลำธารในหุบเขา และได้เจอเด็กชาวนาวาสองคนที่นั่น เป็นครั้งแรกที่พิมได้เจอชาวนาวาตัวเป็นๆ มีคนบอกพิมว่าพวกเขาเป็นชาวนาวา ตอนนี้เป็นเด็กกำพร้ามาอาศัยอยู่กับโรงเรียนสำหรับเด็กกำพร้าในภูเขา
อย่างน้อยก็ยังมีที่สำหรับเด็กสินะ พิมคิด
เป็นสัตว์วิเศษที่ใครเจอก็จะโชคดี
ไม่จริง ไม่เคยเห็นมันให้อะไรผม สมชายเถียง
ถ้าเจอจะยิงทิ้งให้หมดเลย แล้วก็หัวเราะขบขัน
พิมก็พลอยหัวเราะไปด้วย ปากก็บอกว่า แต่อย่ายิงเลยสงสารมัน
พวกเขาแค่ยิ้ม ตากลมโตมองพิมเหมือนล้อเลียน
พิมไม่ได้คุย ไม่ได้ถามพวกเขามากนัก นอกจากคำถามพื้นๆ ว่ากินข้าวหรือยัง วันนี้ทำอะไร พวกเขามักตอบว่า กินแล้ว ไปเลี้ยงวัว พิมแค่มองพวกเขาจากระเบียงบ้าน ได้ยินเสียงต้อนวัวออกจากคอกในบางวัน เห็นพวกเขาวิ่งเล่นอยู่ในบริเวณบ้านที่มีป่าอยู่รอบด้าน โรงเรียนของพวกเขาปิดเทอมเช่นเดียวกับพิม
บ่ายวันหนึ่งพิมลงไปเล่นน้ำในลำธารหน้าบ้าน เห็นสมสิทธิ์ปีนป่ายเล่นอยู่บนก้อนหินริมธาร ส่งสายตามองพิมเป็นระยะ ดูเหมือนเขาอยากเล่นน้ำด้วยแต่ไม่กล้า แต่เมื่อเจ้าของบ้านอนุญาต สมสิทธิ์ไม่รอช้าถอดเสื้อกางเกงไว้บนหินก้อนใหญ่ แล้วลงแช่น้ำในลำธาร นอนแผ่กายเหยียดสบายปล่อยให้น้ำในลำธารไหลผ่านร่างผอมบางเปลือยเปล่า ใบหน้ามองขึ้นไปข้างบน มีท้องฟ้าและยอดไม้สูงอยู่ที่นั่น นานหลายนาที พักใหญ่ก็รีบถอนตัวจากน้ำใส่เสื้อผ้าก่อนรีบขอตัวไปหาน้องชาย บอกว่าได้ยินเสียงสมชายร้องหา เขาออกมาเล่นตอนที่น้องชายหลับอยู่ ป่านนี้คงตื่นแล้วจึงเรียกหาเขา
สมชายตื่นแล้ว ผมได้ยินเสียงน้องร้อง สมสิทธิ์บอกแค่นั้นแล้ววิ่งหายไป
พิมจะจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยพบสมชายและสมสิทธิ์ แต่มันจะค่อยๆ เลือนไปเมื่อฤดูร้อนผ่านไปอีกครั้ง
และบนเรือลำนั้นสมสิทธิ์และสมชายไม่เคยรู้ว่าวันหนึ่งพวกเขาจะกลายเป็นเด็กกำพร้า และจะได้ชื่อใหม่ว่า สมสิทธิ์และสมชาย