จี้ทบทวน ‘ประกาศ ก.ทรัพยากรฯ’ ยกเว้น ‘EIA โรงไฟฟ้าขยะ’ เอื้อทุน-ขัดธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม

จี้ทบทวน ‘ประกาศ ก.ทรัพยากรฯ’ ยกเว้น ‘EIA โรงไฟฟ้าขยะ’ เอื้อทุน-ขัดธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม

20152910012842.jpg

28 ต.ค. 2558 มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มูลนิธิบูรณะนิเวศ และเครือข่ายประชาชนศึกษาและติดตามปัญหาขยะ จัดเสวนา “ยกเว้น EIA โรงไฟฟ้าขยะ: วิกฤตสิ่งแวดล้อมใหม่ของสังคมไทย” และอ่านแถลงการณ์ต่อกรณีการยกเว้นการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โรงไฟฟ้าขยะ ณ ห้องประชุมมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) จากนั้น ตัวแทนชุมชนจากพื้นที่ผลกระทบจะเดินทางไปยื่นหนังสือหนังสือเรียกร้องขอให้มีการทบทวนและยกเลิกประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน

สืบเนื่องจาก มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2558 (10 มิ.ย. 2558) และการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2558  มีผลยกเว้นให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะมูลฝอยทุกขนาดกำลังการผลิตไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จากเดิมกำหนดให้กำลังการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ขึ้น ไปต้องจัดทำรายงาน EIA โดยให้ดำเนินการตามประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) แทน ตอบสนองกับแผนแม่บทการจัดการขยะระดับชาติของรัฐบาลโดยการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ

ดร.สมนึก จงมีวศิน เครือข่ายเพื่อนตะวันออก กล่าวว่า ประกาศดังกล่าวมีผลบังคับแล้ว ในขณะที่ประมวลหลักการปฏิบัติ หรือ CoP เป็นมาตรการใหม่ที่ยังไม่มีความชัดเจน และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยังไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ออกมา ทำให้กลายเป็นช่องว่าง ที่โรงไฟฟ้าบางแห่งที่มีตั้งเป้ากำลังการผลิตต่ำกว่า 10 เมกะวัตต์ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำ EIA อาจขยายกำลังการผลิตเพิ่มเกิน 10 เมกะวัตต์ 

ดร.สมนึก กล่าวให้ข้อมูลด้วยว่า ร่างแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ พ.ศ.2559-64 กำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพเป็นโรงงานไฟฟ้าขยะ 53 แห่งทั่วประเทศ มี 7 แห่งที่มีขนาดใหญ่กว่า 10 เมกะวัตต์ จากจำนวนทั้งหมดเปิดดำเนินการแล้ว 2 แห่ง ได้แก่ เทศบาลนครภูเก็ต เทศบาลนครหาดใหญ่ และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 3 แห่ง  ได้แก่ กทม. เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลตำบลแม่ขรี จ.พัทลุง เซ็นสัญญา MOU  2 แห่ง ได้แก่ เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา อบจ.ระยอง นอกจากนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม 1 แห่ง ได้แก่ อบจ.ลำพูน ส่วนอีก 45 แห่ง ถูกคัดค้านจากชาวบ้าน เพราะไม่ไว้วางใจการจัดการที่ผ่านมา

ไพโรจน์ พลเพชร อดีตคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า ประกาศกระทรวงทรัพยากรฯ ให้ความสำคัญกับการทำงานในระยะเร่งด่วน พิจารณาผ่อนปรนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นั่นชัดเจน เพราะ CoP เป็นมาตรการผ่อนปรนในการลงทุนของกลุ่มทุน ให้เดินได้โดยไม่มี EIA มาเป็นอุปสรรคการลงทุนในช่วงสถานการณ์พิเศษ 

ทั้งที่ปัจจุบัน EIA ไม่ได้น่าชื่อถือ ไม่เป็นที่ไว้วางใจ ถึงขั้นถูกเรียกว่าเป็นใบอนุญาตทำลายทรัพยากร ทำลายชีวิตผู้คน แม้แท้จริงจะเป็นมาตรการป้องกันก่อนเกิดโครงการที่ทั่วโลกใช้กัน แต่ CoP เป็นมาตรการหลังอนุมัติอนุญาตแล้ว ผิดหลักการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่ต้องเป็นการป้องกัน โปร่งใส ให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น ในอนาคตหากมีการใช้ CoP จะเกิดอะไรขึ้นในประเทศต่อไป เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง 

อดีตคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวด้วยว่า CoP นี่คือการถ่อยหลังกลับไป ละเลยการมีส่วนร่วมที่สำคัญอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ 1.เข้าไม่ถึงข้อมูลของประชาชน

2.การรับฟังความเห็นประชาชน ซึ่งไม่เกี่ยวกับกลุ่มสนับสนุน-คัดค้านและไม่ใช่การฟังเพื่อลงมติ แต่เป็นการรับฟังที่น้ำหนักของเหตุผล โดยคนกลางที่เป็นอิสระมาทำหน้าที่รับฟังและให้ความเห็นโดยไม่มีอคติ อีกทั้งมีคุณภาพของการรับฟัง สามารถอธิบายได้ว่าทำไม่ไม่เอาความเห็นนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาไม่มีตรงนี้ ดังนั้นการรับฟังจึงไม่มีความหมายในสังคมไทย และเกิดการล้มเวทีการรับฟังความเห็นขึ้น

3.ประกาศกระทรวงทรัพยากรฯ ไม่เป็นไปไปตามรัฐธรรมนูญที่ต้องฟังความเห็นอย่างเพียงพอ ซึ่งอาจต้องให้ศาลเป็นคนพิสูจน์ โดยการฟ้องศาลปกครองซึ่งไม่รู้ว่ากระบวนการจะยาวนานแค่ไหน

ไพโรจน์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญคือ 53 พื้นที่ ซึ่งจะได้รับผลกระทบได้ส่งเสียงมากเพียงพอหรือไม่ อย่างไรก็ตามชาวบ้านไม่ได้คัดค้านและสังคมต่างเห็นปัญหาร่วมกัน แต่คำถามคือเรามีทางเลือกในการแก้ปัญหาหรือไม่ ในส่วนของชาวบ้านเองก็สามารถเสนอทางเลือกให้สังคมได้ด้วย ไม่ได้เป็นแค่กลุ่มคัดค้านอย่างเดียว เราบอกได้ว่าเราต้องการให้ขนาดต่ำกว่า 10 เมกะวัตต์ ต้องถูกตรวจสอบด้วย

“ขอย้ำว่าเสรีภาพในการพูด การแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์พิเศษแบบไหนก็ไม่สามารถปิดกั้นได้” ไพโรจน์กล่าว

แถลงการณ์ของเครือข่ายประชาชนระบุ ดังนี้ 

 

 

แถลงการณ์ ต่อกรณีการยกเว้น EIA โรงไฟฟ้าขยะ

เผยแพร่วันที่ 28 ตุลาคม 2558

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ออกประกาศ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2558 ที่มีผลเป็นการยกเว้นให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะมูลฝอยทุกขนาดกำลังการผลิตไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงาน EIA จากเดิมที่กำหนดให้กำลังการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ ขึ้นไปต้องจัดทำรายงาน EIA เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามหลักการใน พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 โดยได้เปลี่ยนให้ดำเนินการตามประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice/ COP) แทน ที่ยังไม่มีความชัดเจนในหลักการและกลไก รวมไปถึงกฎหมายที่รองรับ

กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมและเครือข่ายประชาชนที่ศึกษาและติดตามนโยบายตามแผนแม่บทการจัดการขยะเห็นว่า การปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายของกระทรวงฯ ครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายสิ่งแวดล้อมและเป็นการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่อาจบรรลุถึงประสิทธิภาพการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายได้อย่างยั่งยืน ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535ได้กำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยให้โครงการบางประเภทต้องจัดทำรายงาน EIA เพื่อประเมินความจำเป็นและหรือทางเลือกของโครงการ ผลกระทบที่อาจเกิดจากการประกอบการ และกำหนดมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ไขผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพื่อยกเว้นให้โครงการใดไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จึงต้องมีข้อมูลสนับสนุนอย่างเพียงพอสำหรับการลดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพนั้น อีกทั้งตามหลักการในรัฐธรรมนูญ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย ดังนั้น กระบวนการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะของกระทรวงฯ โดยไม่มีการชี้แจงเหตุผลและรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอจึงไม่เป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญและกฎหมายสิ่งแวดล้อม 

การแก้ไขให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะมูลฝอยดำเนินการตามประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice หรือ COP) แทนรายงาน EIA ก็ไม่สามารถทดแทนกันได้ ด้วยเหตุที่ COP นั้นเป็นเพียงคู่มือรายการสิ่งแวดล้อม (Environmental Checklist)ที่เป็นรายการที่โครงการต้องปฏิบัติตามและทำการติดตามตรวจสอบเท่านั้น และCOP ไม่ถูกกำหนดมาให้ผ่านการพิจารณาเชิงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) 

การออกกฎระเบียบของฝ่ายปกครอง นอกจากมีกฎหมายให้อำนาจแล้ว ยังต้องเคารพในหลักความได้สัดส่วน กฎระเบียบที่บัญญัติออกมาต้องสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามกฎหมายเพื่อยังประโยชน์ให้สาธารณะชน กรอบแนวคิดหนึ่งของการจัดการขยะตามแผนแม่บทคือการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายแบบผสมผสานโดยใช้เทคโนโลยีแบบผสมผสาน ทั้งระบบการหมักปุ๋ย เตาเผา ฝังกลบ การแปรรูปเป็นพลังงานและระบบคัดแยก การยกเลิกการทำรายงาน EIA ของกระทรวงฯ นี้จึงส่งผลต่อจำกัดการออกแบบการจัดการขยะแบบผสมผสานนี้ให้ออกมาในรูปแบบเดียวคือ โรงไฟฟ้าขยะ หรือโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง การออกประกาศนี้จึงไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ถึงการจัดการขยะแบบยั่งยืนได้

กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมและเครือข่ายประชาชนที่ศึกษาและติดตามนโยบายตามแผนแม่บทการจัดการขยะขอเรียกร้อง ดังต่อไปนี้

1.ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยกเลิกประกาศ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2558  และกำหนดให้โรงไฟฟ้าขยะมูลฝอยที่มีกำลังการผลิตตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ ขึ้นไปต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามเดิม เพื่อรองรับมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนจากกิจการที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ

2.ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทบทวนการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านขยะที่ยั่งยืน เช่น การคัดแยกขยะ การกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเพื่อควบคุมสารไดออกซินไอโลหะหนัก และเถ้าเบา เถ้าหนัก เป็นต้น

ลงชื่อ

เครือข่ายประชาชนศึกษาและติดตามปัญหาขยะ

ตัวแทนจากจังหวัดระยอง ชลบุรี สระแก้ว สระบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก และสมุทรปราการ

มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม

มูลนิธิบูรณะนิเวศ

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

Prev

June 2025

Next

Mon

Tue

Wed

Thu

Fri

Sat

Sun

26
27
28
29
30
31
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
1
2
3
4
5
6

8 June 2025

Nothing to show.

เข้าสู่ระบบ