20 ต.ค. 2558 กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) โดยนางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มฯ เผยแพร่แถลงการณ์ ‘ความตกลง TPP สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวาง การตัดสินใจเข้าร่วมต้องผ่านการตัดสินใจโดยประชาชนส่วนใหญ่’ จากกรณีที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความตกลง TPP ในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (20 ต.ค. 2558)
ที่มาภาพ: ส่วนหนึ่งของอินโฟกราฟฟิกโดยมูลนิธิพรมแดนอิเลิกทรอนิกส์ (คลิกดู)
แถลงการณ์ ดังกล่าวระบุว่า FTA Watch ซึ่งได้ติดตามและวิเคราะห์ความตกลงดังกล่าวในประเด็นสำคัญต่างๆ มีความเห็นว่า ประเทศไทยไม่ควรเข้าร่วมในความตกลงนี้ หรือ อย่างน้อยที่สุดต้องไม่รีบเร่งเข้าเป็นภาคี ด้วยเหตุผล 4 ข้อ ดังนี้
1.การยอมรับความตกลงทรัพย์สินทางปัญญาที่ให้การคุ้มครองผู้ประกอบการมากไปกว่าความตกลงทางการค้าโลก จะส่งกระทบทางลบ อาทิ การขยายอายุสิทธิบัตรยาและการคุ้มครองข้อมูลยาจะส่งผลให้ยามีราคาแพง การขยายสิทธิบัตรพืชและการผลักดันให้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญา UPOV1991 จะทำให้เกษตรกรต้องจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์แพงขึ้น 2-6 เท่า และเปิดช่องให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรชีวภาพ
ส่วนขยายอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ให้ยาวนานออกไปจะส่งผลต่อการเข้าถึงความรู้ โดยผลประโยชน์อาจไม่ได้ตกอยู่กับศิลปินหรือผู้สร้างสรรค์งาน แต่จะไปอยู่กับบริษัทจัดเก็บรายได้ เปิดช่องให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต อีกทั้งการทำงานของสื่อมวลชนและนักวิจัยอาจเป็นความผิดฐานละเมิดความลับทางการค้า เป็นต้น
2.ความตกลงเกี่ยวกับการคุ้มครองนักลงทุน จะเปิดช่องให้นักลงทุนฟ้องร้องรัฐบาลได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรัฐดำเนินการออกมาตรการเพื่อปกป้องผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชน 3.สหรัฐอเมริกาจะใช้ความตกลงนี้ในการผลักดันให้ประเทศต่างๆ ต้องยอมรับพืชและผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรม หรือ GMOs
และ 4.ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการเข้าร่วมใน TPP ในกรณีการเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าเพราะการลดภาษีเหลือ 0% นั้น ไม่คุ้มค่ากับผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยได้ทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศในกลุ่ม TPP แล้วถึง 9 ประเทศ เหลือเพียงสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโกเท่านั้นที่ไทยยังไม่มีความตกลงทางการค้าด้วย
นอกจากนั้น FTA Watch ยังเรียกร้องให้สังคมไทยร่วมกันกดดันมิให้รัฐบาลชั่วคราวตัดสินใจเข้าร่วมใน TPP โดยอ้างเหตุผลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของบางสินค้าและบางอุตสาหกรรม โดยไม่ได้พิจารณาผลกระทบต่อประชาชน ฐานทรัพยากร และอธิปไตยของประเทศ
“การเข้าร่วมในความตกลงระหว่างประเทศดังกล่าว ต้องดำเนินการโดยกระบวนการมีส่วนร่วม การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกฝ่ายทุกกลุ่ม และผ่านการตัดสินใจโดยรัฐบาลและรัฐสภาที่มีที่มาจากประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริงเท่านั้น” แถลงการณ์ระบุ
ด้าน กรุงเทพธุรกิจ รายงานความคืบหน้าการประชุม ครม.ว่า นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.หารือเกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) หลังจากกลุ่มสมาชิก 12 ประเทศสามารถบรรลุร่วมกัน และยังมีมูลค่าทางเศรษฐกิจของสมาชิกTPP 12 ประเทศรวมกัน 28.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนถึงร้อยละ 40 ของมูลค่าเศรษฐกิจโลก ประกอบด้วย ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา ชิลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ เปรู สิงคโปร์ สหรัฐฯ และเวียดนาม
กระทรวงพาณิชย์ จึงเร่งเดินหน้าศึกษาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้าง เบื้องต้นจะมีผลในทางจิตวิทยาต่อการส่งออกสินค้าของไทยและอาจได้รับต่อสินค้าไทยในบางรายการ จากการได้รับสิทธิ์ลดภาษี ขณะที่กลุ่มสมาชิก TPP 12 ประเทศนั้นไทยได้มีข้อตกลงกับประเทศสมาชิกดังกล่าวถึง 9 ประเทศ มีเพียงสหรัฐ แคนนาดา เม็กซิโก ที่ไทยยังไม่ได้มีข้อตกลง FTA และเมื่อจีนเห็นว่า TPP บรรลุข้อตกลงได้แล้ว จึงต้องการเร่งรัดการร่วมกลุ่มของ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้บรรลุข้อตกลงด้วยเช่นกัน คาดว่าต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปี ในการเจรจาร่วมกัน
ขณะที่ความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ประกอบด้วยอาเซียน 10 ประเทศและ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดียหรือ อาเซียน+6 (RCEP) แม้จะมีจีดีพีรวมกันน้อยกว่า TPP แต่ประชาชนหรือลูกค้ามีมากกว่า TPP และในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้กำหนดมีการประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน เตรียมหารือเกี่ยวกับกรอบการลดภาษีร่วมกันของกลุ่ม RCEPหลังจากนั้นจะนัดประชุมอีกครั้งในมกราคมเพื่อสรุปการลดภาษีระหว่างการ รัฐบาลไทยจึงต้องศึกษาผลดีผลเสียต่อการนำเข้า ส่งออก สินค้าไทย เพื่อศึกษาอย่างรอบคอบ
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากเข้าเป็นสมาชิก TPP จะไม่ให้ใช้แรงงานผิดกฎหมายในด้านประมง และได้หารือกับภาคเอกชนในวันที่ 9 ต.ค.กับกลุ่ม กกร. โดยเอกชนส่วนใหญ่เห็นว่ามีประโยชน์ แต่หากเป็นสินค้าอ่อนไหว อาจได้รับผลกระทบ ที่ประชุมจึงให้ใช้เวลาศึกษาอย่างรอบคอบ เพราะอาจเข้าร่วมสมาชิกใดหรือไม่ก็ได้ เพราะยังมีเวลาอีกนาน
แถลงการณ์มีรายละเอียดดังนี้
แถลงการณ์กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน ความตกลง TPP สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวาง ตามที่มีกระแสเรียกร้องจากภาคธุรกิจบางส่วนให้ประเทศไทยเข้าร่วมในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค (TPP) และรัฐบาลได้ดำเนินการให้มีการศึกษาเพื่อกำหนดท่าทีของประเทศไทยในเรื่องดังกล่าวนั้น กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ซึ่งได้ติดตามและวิเคราะห์ความ ตกลงดังกล่าวในประเด็นสำคัญต่างๆ มีความเห็นว่า ประเทศไทยไม่ควรเข้าร่วมในความตกลงนี้ หรือ อย่างน้อยที่สุดต้องไม่รีบเร่งเข้าเป็นภาคี ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ 1.การยอมรับความตกลงทรัพย์สินทางปัญญาที่ให้การคุ้มครองผู้ประกอบการมากไปกว่าความตกลงทางการค้าโลก ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่ต้องแก้กฎหมายที่มีอยู่หรือไม่ แต่จะส่งกระทบทางลบต่อประเทศไทยอย่างกว้างขวาง เช่น การขยายอายุสิทธิบัตรยา และการคุ้มครองข้อมูลยาจะส่งผลให้ยามีราคาแพง คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 100,000 ล้านบาท/ปี ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงยาของประชาชน ค่าใช้จ่ายของรัฐเกี่ยวกับบริการด้านสาธารณสุขจะสูงขึ้นอย่างมหาศาล และทำลายระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศในที่สุด การขยายสิทธิบัตรพืชและการผลักดันให้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญา UPOV1991 จะทำให้เกษตรกรต้องจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์แพงขึ้น 2-6 เท่า และเปิดช่องให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรชีวภาพคิดเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมกันอย่างต่ำ 100,000 ล้านบาท/ปี โดยที่การเก็บรักษาพันธุ์เพื่อปลูกต่อถือว่าเป็นความผิดทางอาญา ส่วนขยายอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ให้ยาวนานออกไปจะส่งผลต่อการเข้าถึงความรู้ โดยผลประโยชน์อาจไม่ได้ตกอยู่กับศิลปินหรือผู้สร้างสรรค์งาน แต่จะไปอยู่กับบริษัทจัดเก็บรายได้ เปิดช่องให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต อีกทั้งการทำงานของสื่อมวลชนและนักวิจัยอาจเป็นความผิดฐานละเมิดความลับทางการค้า เป็นต้น 2. ความตกลงเกี่ยวกับการคุ้มครองนักลงทุน จะเปิดช่องให้นักลงทุนฟ้องร้องรัฐบาลได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรัฐดำเนินการออกมาตรการเพื่อปกป้องผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชน เช่น จำกัดการใช้มาตรการของรัฐเกี่ยวกับการควบคุมยาสูบหรือเครื่องดื่มมึนเมา จำกัดการออกมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเนื่องจากการลงทุนทำเหมืองแร่ และโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ฯลฯ ทั้งนี้โดย นักลงทุนต่างชาติสามารถฟ้องร้องรัฐผ่านกลไก “อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ” ซึ่งจากการศึกษาพบว่าอนุญาโตตุลาการที่ดำเนินการพิจารณาและตัดสินข้อพิพาทมักจะดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายหรืออยู่ในคณะกรรมการบริหารของบริษัทเอกชน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่อนุญาโตตุลาการจะทำหน้าที่ เอื้อประโยชน์หรือปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุนมากกว่าที่จะพิจารณาข้อพิพาทอย่างอิสระและเป็นกลาง 3. สหรัฐอเมริกาจะใช้ความตกลงนี้ในการผลักดันให้ประเทศต่างๆ ต้องยอมรับพืชและผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรม หรือ GMOs โดยที่ข้อกำหนดเกี่ยวกับการปกป้องสิทธิเกษตรกร สิทธิผู้บริโภค มาตรการป้องกันไว้ก่อนเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และการใช้เหตุผลด้านเศรษฐกิจสังคม จะไม่สามารถใช้เพื่อยับยั้งการปลูกพืชและการติดฉลากผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรมได้อีกต่อไป 4. ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการเข้าร่วมใน TPP ในกรณีการเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าเพราะการลดภาษีเหลือ 0% นั้น ไม่คุ้มค่ากับผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยได้ทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศในกลุ่ม TPP แล้วถึง 9 ประเทศ เหลือเพียงสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโกเท่านั้นที่ไทยยังไม่มีความตกลงทางการค้าด้วย คิดเป็นสัดส่วนการส่งออกไปยัง 3 ประเทศดังกล่าวเพียง 9% และมีสัดส่วนการลงทุนจากกลุ่มประเทศดังกล่าวเพียง 9.9% เท่านั้น การที่กลุ่มประเทศดังกล่าวไม่ลดภาษีให้กับประเทศไทยไม่ได้หมายความว่าเราจะสูญเสียตลาดไปทั้งหมด ในทางตรงข้ามจะเป็นการสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรมสูงขึ้น ไม่ใช่แข่งขันที่ราคา แต่เป็นการแข่งขันสินค้าที่มีคุณภาพ อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน การพัฒนานวัตกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับยา และเทคโนโลยีชีวภาพนั้น ต้องอาศัยการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เหมาะสม ดังจะเห็นได้จากความสำเร็จของอินเดีย และจีนที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมได้ โดยเลือกที่จะคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในระดับที่เหมาะสมกับระดับการพัฒนาของประเทศของตน หาใช่การให้การคุ้มครองการผูกขาดสิทธิบัตรอย่างเข้มงวดตามมาตรฐานของสหรัฐแต่อย่างใดไม่ กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ขอเรียกร้องให้สังคมไทยร่วมกันกดดันมิให้รัฐบาลชั่วคราวตัดสินใจเข้าร่วมใน TPP โดยอ้างเหตุผลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของบางสินค้าและบางอุตสาหกรรม โดยมิได้พิจารณาผลกระทบต่อประชาชน ฐานทรัพยากร และอธิปไตยของประเทศ การเข้าร่วมในความตกลงระหว่างประเทศดังกล่าว ต้องดำเนินการโดยกระบวนการมีส่วนร่วม การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกฝ่ายทุกกลุ่ม และผ่านการตัดสินใจโดยรัฐบาลและรัฐสภาที่มีที่มาจากประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริงเท่านั้น กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) |