จับตาวาระ ครม.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. … เพิ่มความโปร่งใส แต่ไม่เปิดรับฟัง แม้กับ สธ. แถมยกเว้นการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์
วันนี้ (7 ก.ค.2558) กระทรวงการคลังจะยื่นเรื่องให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. … และอนุมัติถอนร่างพระกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ…. เพื่อกำหนดกรอบการปฏิบัติงานการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุตามแนวทางสากล เพื่อเป็นมาตรฐานกลางสำหรับใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ ให้เกิดความคุ้มค่า ป้องกันปัญหาทุจริต
ต่อเรื่องนี้ กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) และแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา แสดงความกังวลว่า ร่างกฎหมายนี้ไม่มีการจัดรับฟังความคิดเห็น มีเพียงการรับฟังวงจำกัดในตัวร่างเก่า แม้แต่กระทรวงสาธารณสุขยังไม่ได้ถูกส่งตัวร่างให้ส่งความเห็นประกอบการพิจารณาของ ครม.วันนี้
“เราเข้าใจว่า พ.ร.บ.นี้มุ่งหมายที่ทำให้เกิดความโปร่งใส่ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แต่ทั้งนี้เนื้อหาของกฎหมายต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะและผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยในประเทศไทย เพราะจะเปิดทางให้ธุรกิจต่างชาติเข้ามาประมูลแข่งขัน ตั้งแต่วงเงิน 200,000 บาทขึ้นไป ยิ่งไปกว่านั้นหากต้องการทำให้เกิดความโปร่งใสควรรวมไปถึงการเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็พบว่ามีปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือซื้อมาแล้วไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้ใช้งานอยู่หลายๆ กรณี” กรรณิการ์กล่าว
อนึ่ง จากรายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการข้อเสนอผลกระทบจากการเจรจา Thai-EU FTA ที่มีผลต่อการจัดหายาในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดทำโดยแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา ตั้งข้อสังเกตประเด็นเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างที่พึงพิจารณา 5 ประการดังนี้
1.โครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของต่างประเทศที่ต้องเปิดให้ผู้ประกอบการของประเทศคู่ภาคีสามารถเข้าร่วมประมูลต้องเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูง แต่ของไทยไม่จำกัดวงเงิน (นั่นหมายความว่าต่างประเทศเข้ามาร่วมประมูลในประเทศไทยได้ง่าย แต่ไทยไปร่วมประมูลโครงการในต่างประเทศยาก)
2.สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดซื้อจัดจ้างไม่ใช่แค่เรื่องราคาอย่างเดียว แต่มีเรื่องคุณภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งหากกำหนดคุณภาพหรือเทคนิคของพัสดุตามประเทศที่มีมาตรฐานการผลิตที่สูงมาก หรือมีเทคโนโลยีการผลิตที่สูงมากก็จะกลายเป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศเสียเอง เนื่องจากไม่สามารถจำหน่ายได้หรือหากจะทำให้มีคุณภาพที่เทียบเท่าจะต้องลงทุนที่สูงกว่า
3.ยังมีปัญหาด้านการจัดเก็บข้อมูลสถิติด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของประเทศไทยให้มีมาตรฐานเดียวทั่วประเทศ และครอบคลุมการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการทั้งส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และองค์กรอิสระ เพื่อใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายที่เหมาะสม
4.ยังไม่มีระบบการติดตามตรวจสอบ (monitoring) ผลการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐว่าได้ดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ตามกฎระเบียบหรือไม่อย่างไรเช่น ไม่มีกลไกในการติดตามการประกาศข่าวประกวดราคา และการเปิดเผยผลการประกวดราคา
5.หน่วยงานรัฐจำนวนมากโดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นยังไม่มีความพร้อมด้านบุคลากรที่รับผิดชอบด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งจำเป็นต้องมีการยกระดับบุคลากรให้มีความรู้ด้านวิชาชีพ มีข้อบังคับด้านจริยธรรม (code of conduct) และมีการพัฒนาเส้นทางอาชีพ (career path) นอกจากนี้ หน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐขนาดเล็ก ยังขาดความสามารถในการตรวจสอบภายในองค์กร (internal audit) ที่มีประสิทธิภาพ
สืบเนื่องจากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง มีร่าง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. …. จากเดิมมีแนวคิดที่จะยกระดับจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น โดยมีร่างพระราชกฤษฎีกา 29 ต.ค.2550 และมีการรับฟังความเห็น 2 ครั้ง 26 ธ.ค. 57 และ 2 ก.พ. 58
ทั้งนี้ นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ได้ชี้แจงความคืบหน้าของร่างกกหมายโดยมีประเด็นดังต่อไปนี้ ร่างพ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ กำหนดกรอบการปฏิบัติงานอย่างกว้างๆ เพื่อเป็นมาตรฐานกลาง สำหรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ซึ่งจะทำให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐเป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งยังเป็นหลักประกันในการปฏิบัติราชการให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
นอกจากนั้น นักลงทุนต่างประเทศต้องการอยากให้รัฐบาลออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทั้งหมด เพื่อให้เกิดความมั่นใจเกี่ยวกับความเป็นธรรมในการเข้าร่วมประมูลการลงทุนในโครงการต่างๆ ของทุกส่วนราชการ เพราะปัจจุบัน การจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการจะดำเนินการผ่านระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักนายกรัฐมนตรี และในส่วนของรัฐวิสาหกิจบางแห่งก็จะมีระเบียบจัดซื้อเป็นของตัวเอง
แต่ต่อไปจะมีกฎหมายเฉพาะเพื่อเป็นมาตรฐานกลางในการจัดซื้อจัดจ้างของทุกหน่วยงานภาครัฐ โดยจะใช้กับหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ได้แก่ ราชการส่วนกลาง ราชการ ส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ องค์การมหาชน องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มหาวิทยาลัยในการกำกับของรัฐ หน่วยงานอิสระของรัฐ และหน่วยงานอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง
เว้นแต่องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง ที่มีลักษณะการผลิตหรือจำหน่าย หรือบริการเพื่อหารายได้ การดำเนินการจัดหายุทโธปกรณ์ และการบริการทางทหารโดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล และการดำเนินการโดยใช้เงินกู้และเงินช่วยเหลือ ที่สัญญาหรือข้อกำหนดในการให้เงินกู้หรือเงินช่วยเหลือกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ในส่วนของบทลงโทษสำหรับผู้ที่กระทำความผิดในการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเป็นนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการให้มีบทลงโทษถึงบุคคลที่เป็นผู้สั่งการระดับสูงสุด เพราะปัจจุบัน กระบวนการลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดนั้น มักจะสาวไม่ถึงผู้ที่สั่งการ กล่าวคือ ผู้ที่ได้รับโทษมักจะเป็นข้าราชการระดับล่างๆ เท่านั้น
ทั้งนี้ บทลงโทษ ในร่างกฎหมายกำหนดว่า กรณีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายนี้โดยมิชอบ เพื่อให้ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม พระราชบัญญัตินี้โดยทุจริต ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดนั้น หากกระทำความผิดนั้น เกิดจากการสั่งการ หรือไม่สั่งการของผู้มีอำนาจหน้าที่ รับผิดชอบในการดำเนินเรื่องนั้น ผู้มีอำนาจหน้าที่นั้น ต้องรับโทษเป็นสองเท่าของความผิด ที่กำหนดไว้