10 ปีความรุนแรงภาคใต้ กับ 1 ปีที่สันติภาพกำลังเดินทาง
ความขัดแย้งที่ก่อตัวเป็นความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้านับหมุดหมายที่ความรุนแรงปะทุขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อปี 2547 กับเหตุการณ์ตากใบ และอีกหลายเหตุการณ์ ต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ก็นับ 10 ปี แล้ว ขณะที่กระบวนการพูดคุยสันติภาพอย่างเป็นทางการ ได้เริ่มต้นและเดินทางมาจะครบ 1 ปีในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 นี้
เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2557 ที่สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการจัดเวทีเสวนาทางวิชาการเรื่อง “ความขัดแย้ง ความรุนแรง และกระบวนการสันติภาพปาตานี” โดยความร่วมมือของ ศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาที่ยั่งยืน(RCSD) ศูนย์ศึกษาชาติพันธ์และการพัฒนาคณะสังคมศาสตร์ และศูนย์อาเซียนศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับสถานีวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ความสำคัญของเวทีนี้คือมีการเชิญผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการสันติภาพมาร่วมพูดคุยเช่น ดาโต๊ะสรี อาห์มัด ซัมซามิน ฮาซิม อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองของมาเลเซีย ในฐานะผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยสันติภาพระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับขบวนการปลดปล่อยปาตานี รศ.ดร.มาร์ค ตามไท นักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องสันติภาพ ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ผู้เป็นหนึ่งในคณะที่เข้าร่วมกระบวนการสันติภาพครั้งนี้ ผศ.ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี จากมหาวิทยาลัยพายัพ นักวิชาการผู้มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในตนเองคือเป็นมุสลิมจีนและเป็นคนเหนือจากจังหวัดเชียงใหม่
1 ปีกับบทบาทผู้อำนวยความสะดวกของมาเลเซีย
ดาโต๊ะสรี อาห์มัด ซัมซามิน ฮาซิม ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลมาเลเซีย ทำหน้าที่ประธานคณะทำงานร่วมว่าด้วยกระบวนการพูดคุยสันติภาพในภาคใต้ของไทย กล่าวว่ากระบวนการพูดคุยสันติภาพที่เริ่มต้นมาได้ประมาณ 1 ปีมีการประชุมอย่างเป็นทางการหลายครั้ง แต่ก็มีการปรึกษาหารืออย่างไม่เป็นทางการต่อเนื่อง โดยทั้งสองฝ่ายพยายามเข้ามามีส่วนร่วม อาจะชะงักไปบ้าง เพราะขณะนี้เกิดสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ทำให้ไม่มีตัวแทนทางฝ่ายรัฐอย่างเป็นทางการ แต่กระบวนการทั้งหมดไม่ได้ถือว่าล้มเหลว ยังคงเดินหน้าไป เพราะเพิ่งเริ่มต้นมาได้เพียง 1 ปีและเรากำลังดำเนินการกับปัญหาที่ละเอียดอ่อน ซับซ้อนยาวนาน
ดาโต๊ะ ซัมซามิน แบ่งปันประสบการณ์ว่า ข้อท้าทายของกระบวนการสันติภาพภาคใต้มีหลายประเด็น เช่นเรื่องของภาษา ที่เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับกลุ่มขบวนการที่เกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ ทำได้ง่ายเนื่องจากใช้ภาษาอังกฤษ แต่ในกรณีของภาคใต้ของไทย จะมี 3 ภาษาไปเกี่ยวข้องคือผู้ดำเนินการใช้ภาษาอังกฤษ ตัวแทนประเทศไทยใช้ภาษาไทย ส่วนตัวแทนขบวนการใช้ภาษายะวี
“การประชุมส่วนใหญ่เป็นความพยายามให้เกิดกระบวนการสานเสวนา ไม่ได้เป็นการเจรจา สิ่งที่พูดคุยเป็นประเด็นที่เป็นประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายพยายามทำความเข้าใจทั้งข้อมูลและความรู้สึก และยอมรับในสิ่งที่แต่ละฝ่ายพูด นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทั้งสองฝ่ายคุยอย่างเป็นทางการ และทำบันทึกการประชุมไว้ด้วย จึงอยากเน้นว่ากระบวนการสานเสวนานั้น สิ่งที่สำคัญคือการสร้างความมั่นใจ ความไว้วางใจต่อกันและกัน เพื่อที่จะพร้อมนั่งพูดคุย พิจารณาปัญหาอย่างจริงๆ และทั้งสองฝ่ายพยายามเอาชนะความรุนแรงด้วยความร่วมมือ”
ดาโต๊ะ ซัมซามิน กล่าวว่า เมื่อมีการประกาศฉันทามติทั่วไปว่าด้วยกระบวการพูดคุยสันติภาพระหว่างกันอย่างเป็นทางการแล้ว จึงมีการจับตา มีการวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อมาก หลายครั้งมีข้อมูลที่ถูกบ้างผิดบ้าง ปรากฏตามสื่อ ทำให้เกิดความสับสน เข้าใจผิด ทำให้คู่เจรจา ฝ่ายผู้ดำเนินการได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชนเพื่อให้รายละเอียดที่ถูกต้อง แต่แม้แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเล็กๆ น้อยๆ ก็ถูกตีความแตกต่างกันไป บางคนตีความว่า มีปัญหา มีการแทรกแซง จนคู่เจรจาอาจเกิดความกังวลได้ เปรียบเทียบกับกระบวนการสันติภาพของฟิลิปปินส์ที่มินดาเนา ที่เริ่มปี 2544 ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้นำกระบวนการ จน 2549 ก็ยังไม่มีผู้ดำเนินการอย่างเป็นทางการ เขาเก็บทุกอย่างเป็นความลับหมด ไม่มีการประกาศก่อนประชุม ไม่มีสื่อมาจับจ้อง แม้จะมีการทำใบแถลงข่าว แต่สื่อไม่ได้เข้ามามาก แต่ในกระบวนการสันติภาพของภาคใต้ ทุกครั้งที่ประชุมมีการแถลงข่าว มีความคาดหวังต่างๆ มี มีการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ แต่ว่าจำเป็นต้องทำให้เป็นกระบวนการที่เปิดเผย ซึ่งก็เป็นเรื่องท้าทาย
ยืนยันไม่ล้มเหลว-ความสำเร็จคือได้เห็นความรู้สึกซึ่งกันและกัน
ดาโต๊ะ ซัมซามิน กล่าวว่าความสำเร็จที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือเป็นครั้งแรกที่คู่กรณีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายผู้ก่อการสามารถร่วมเจรจากันได้อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ แสดงความจริงใจในการสานเสวนาต่อไปและมีกลุ่มผู้เกี่ยวข้องต่างๆ หลายฝ่ายเข้ามีส่วนร่วมด้วย เช่นที่ผ่านมาก็มีกลุ่มพูโลที่เข้ามา
“เราได้พบกับตัวแทนหลายระดับของ BRN มีตัวแทนของกลุ่มพูโลเข้าร่วม ในพูโลแบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อยที่เราได้พูดคุยกัน สุดท้ายเขาก็รวมเป็นกลุ่มและส่งตัวแทนเข้าสานเสวนา ความพยายามให้มีตัวแทน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมให้มาก กระตุ้นให้เขาได้พูดคุยกัน และขยายผลให้มีส่วนร่วมให้หลากหลายขึ้น ท่ามกลางปัญหาที่ซับซ้อน เชื่อว่ายังมีหลายกลุ่มคิดว่าตนเองควรมีส่วนร่วมด้วย”
ดาโต๊ะ ซัมซามิน กล่าวด้วยว่า ในช่วงเทศกาลถือศีลอดในปีที่แล้ว ในกระบวนการพูดคุยมีเสนอให้หยุดยิง ซึ่งทุกฝ่ายก็ตกลงกัน ความสำเร็จอีกอย่างหนึ่ง คือ ข้อเสนอที่จะไม่โจมตีเป้าหมายที่อ่อนไหว เช่นเด็ก ผู้หญิง ซึ่งหลังจากตกลงกันในช่วงหลายเดือนแรก การโจมตีกลุ่มเหล่านี้ลดลงมาก อย่างไรก็ตาม
“อาจมีการมองว่ายังคงมีความรุนแรงอยู่ในภาคใต้ บางคนบอกว่าไม่บรรลุเป้าหมาย แต่ผมอยากบอกว่า แม้จะมีปัญหาอยู่ แต่บรรลุความสำเร็จในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะสำเร็จแบบไหนก็ตาม การเกิดความสนใจในสาธารณะ เกิดการอภิปรายอย่างกว้างขวาง การมีภาคประชาสังคม กลุ่มนักศึกษาอภิปรายประเด็นนี้มากขึ้น ไม่เฉพาะที่ปัตตานี แม้แต่ที่เชียงใหม่ ก็มีความสนใจเรื่องความขัดแย้งในภาคใต้มากขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่เกิดขึ้น เป็นกระบวนการที่ส่งผลดีและช่วยให้ประชาชนมีอีกมุมมองเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้กว้างขึ้น เวลาที่มีระเบิด เดิมมีการบอกว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดน แต่ปัจจุบันเริ่มมามีคำถามว่าใครเป็นคนทำ เมื่อปี 2551 มีการสำรวจความคิดเห็นรัฐสภาไทยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น ตอนนั้นมีการใช้คำว่าผู้ก่อการร้าย โจรใต้ เป็นการปิดบังความจริงที่เกิดขึ้น แต่หลังจากเริ่มกระบวนการนี้ คนมีอีกมุมมองในการมองปัญหานี้
ดะโต๊ะชัมชามิน กล่าวด้วยว่า ประเทศมาเลเซียแสดงเจตจำนงที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสันติภาพ เพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีผลต่อประเทศมาเลเซียด้วย เราจึงต้องการให้มีทางออก
“นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้แสดงความกังวลต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นล่าสุด แต่เรายังมีความหวังว่าถึงจะหยุดความรุนแรงไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ เรามองโลกในแง่ดีว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการหยุดยิงในระดับหนึ่งได้ แต่จะต้องมีการประชุมอย่างเป็นทางการ ระหว่างตัวแทนทั้งสองฝ่าย”
ผู้ร่วมวงเสวนาตั้งคำถามว่าว่า ในการพูดคุยกัน ความต้องการของผู้เจรจา BRN กับความต้องการของประชาชนทั่วไปเหมือนหรือสอดคล้องกันหรือไม่ ดะโต๊ะซัมซามินกล่าวว่า ทุกกลุ่มมีความทุกข์และปัญหากับสิทธิ์ของชาวมลายู และความเชื่อมั่นต่ออัตลักษณ์ของมลายู ในฐานะของผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุย ก็ได้ให้เขาแสดงออกถึงปัญหาและความต้องการ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าเราคุยกับกลุ่มไหนในแง่ข้อเรียกร้อง สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องการคือสันติภาพ แต่ว่าแนวคิดเรื่องสันติภาพก็แตกต่างกันไป บางกลุ่มบอกว่าสันติภาพหมายถึงไม่มีความรุนแรงเลย บางคนบอกว่าถึงไม่มีความรุนแรงแต่ยังยากจนอยู่ก็เป็นปัญหา ซึ่งในบทบาทของมาเลเซียหวังว่าจะประสานงานให้เห็นทัศนะของกันและกัน
เป้าหมายยุติความรุนแรง
ดะโต๊ะซัมซามินพูดถึง โรดแมบการเจรจาสันติภาพ ว่าเป้าหมายคือหยุดความรุนแรง โดยมีประสบการณ์ที่มินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ ที่เป็นการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ สิ่งที่กิดขึ้นครั้งแรกคือการสร้างความรู้สึกปลอดภัย ให้ชาวบ้านมั่นใจในการใช้ชีวิต เป็นเป้าหมายแรกที่บรรลุได้ หลังจากมีข้อตกลงหยุดยิง สำหรับในปัตตานีขั้นตอนแรกคือให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย มั่นคงในชีวิต ถ้าชาวบ้านรู้สึกว่าใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็จะสนับสนุนกระบวนการสันติภาพ สิ่งที่จะช่วยให้เกิดการหยุดยิงได้อย่างจริงจังคือให้ทุกฝ่ายมาคุยกัน แสดงเจตจำนง ปฏิบัติตามความรับผิดชอบ เป็นโรดแมพที่อยู่ในใจ แต่เมื่อไม่มีการประชุมอย่างเป็นทางการ การแสดงความรับผิดชอบจึงเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นการประชุมอย่างเป็นทางการก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะให้มีข้อตกลงหยุดยิงและสองฝ่ายลงนาน แต่ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ตนในฐานะคนกลางอาจไม่สามารถให้ความเห็นได้ แต่ยังคงหวังว่า กระบวนการสันติภาพเป็นทางออกของปัญหา
มีผู้ร่วมเสวนาแสดงความเห็นว่า คนทั่วไปในสังคมไทยอาจยังไม่เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้คนเข้าใจสาเหตุความขัดแย้ง ควรจะทำอะไรให้คนไทยเข้าใจถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น ในความพยายามผนวกปัตตานีเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยามในอดีต
ดะโต๊ะซัมซามินบอกว่า นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ตนเดินทางมาที่เชียงใหม่ เพื่อให้มีการพูดคุย เพราะแม้แต่คนในสามจังหวัดก็มีความเห็นที่แตกต่างกัน 1 ปี หลังลงนามในฉันทามติกระบวนการพูดคุยสันติภาพ ก็หวังว่าจะมีการพูดคุย อภิปรายกันมากขึ้น และมีคนจากภาคอื่นๆ มาประชุมด้วย ในอดีต เวลาพูดถึงสามจังหวัดชานแดนใต้ก็จะพูดถึงระเบิด การแบ่งแยกดินแดน แต่ในพื้นที่สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่แบ่งแยกดินแดน ดังนั้น การคุยในที่สาธารณะเป็นเรื่องสำคัญ ความพยายามให้คนเห็นต่างมีโอกาสได้คุยกันเป็นสิ่งสำคัญ การรับฟังกันเป็นสิ่งสำคัญ”
สันติภาพที่ยั่งยืนไม่ใช่ข้อตกลงชั่วคราว
ในช่วงที่ 2 ของงานมีการอภิปรายหัวข้อ 10 ปีความรุนแรง กับ 1 ปี กระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องสันติภาพอย่าง รศ.ดร.มาร์ค ตามไท และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ผู้เป็นหนึ่งในคณะที่เข้าร่วมกระบวนการสันติภาพครั้งนี้อย่าง ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี และนักวิชาการผู้เป็นมุสลิมในจังหวัดเชียงใหม่ ผศ.ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี จากมหาวิทยาลัยพายัพ
รศ.ดร.มาร์ค ซึ่งมีประสบการณ์พูดคุยกับขบวนการปาตานีมาประมาณ 7 ปี และ การเกี่ยวข้องกับขบวนการเจรจาสันติภาพที่ประเทศอื่นๆ อย่างเช่น สเปน ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา มองว่ากระบวนการพูดคุยสันติภาพแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน แต่อาจจะมีโครงสร้างบางอย่างร่วมกัน ดังนั้นเราต้องเข้าใจบริบทของความขัดแย้งตนคิดว่าเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน ไม่ใช่ข้อตกลงชั่วคราว หรือเพียงการร่างสัญญา แต่สันติภาพที่ยั่งยื่น จะเกิดขึ้นได้จะต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่จะเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างใคร ต้องไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ในห้องเจรจาเท่านั้น แต่หมายถึงคนปัตตานีกับรัฐไทย
ซึ่งการจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อได้ตนเห็นว่าจะต้องดำเนินการ 4 อย่างคือ
1.เริ่มต้นจัดการกับอดีต เพราะเป็นหนามยอกอกของกลุ่มขบวนการและคนในพื้นที่ โดยรัฐไทยต้องอธิบายคนปัตตานี ว่าทำเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมาจะต้องใช้นโยบายที่เมื่อมองย้อนหลังไปพบว่านโยบายนั้นผิด รัฐไทยขอโทษ คนปัตตานีให้อภัย แต่ปัญหาคือมีการเคยลองทำตอนตนเป็นประธานกรรมการพูดคุย ซึ่งพบว่า ใครจะเป็นประธานรัฐไทยนั้น ไม่มีความแน่ใจ ว่าหากมีการเปลี่ยนผู้นำแล้วจะยังคงใช่อีกหรือไม่ ส่วนการที่จะให้คนปัตตานีให้อภัยก็ไม่ชัดว่า ใครให้อภัย แต่ตราบใดที่ไม่มี “ขอโทษและให้อภัย” สองส่วนนี้ การคุยกันจะเป็นเพียงแค่การจัดงานเฉยๆ และอย่างดีที่สุดก็เพียงแต่ทำสัญญาหยุดยิงชั่วคราว ซึ่งก็ดีกว่าไม่มีอะไร เพียงแต่คิดว่ามันไม่ใช่คำตอบ
อ.มาร์คกล่าวว่า อาจดูเหมือนทฤษฎี ที่ชอบพูดเรื่อง “ขอโทษ และให้อภัย” ซึ่งในระดับปัจเจกบุคคลก็พอมีให้เห็น แต่พอเป็นกลุ่มใหญ่ในสังคม เริ่มไม่ชัดเจน ว่าสังคมขอโทษอย่างไร และการให้อภัยแบบองค์รวมยิ่งเป็นเรื่องยาก ในสังคมปัตตานีพบเห็นว่ามีปัจเจกให้อภัยอยู่ แต่สิ่งที่จะเป็นคือ คนปัตตานีให้อภัยจะทำอย่างไร แต่ก็ต้องเริ่มหาแนวทาง มิเช่นนั้นหากเข้าพูดคุยปัญหาก็จะย้อนกลับไปที่อดีตตลอดเวลา เพราะเข้าคุยจะย้อนกลับตลอด
2.ต้องแยกแยะให้ออกระหว่างการเจรจาเพื่อยุติความรุนแรง กับการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน หรือการหาวิธีอยู่ร่วมกันแบบใหม่
3.กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสร้างสันติภาพในปัตตานี แต่ไม่เพียงพอ ยังมีอีกสองสามส่วนที่สำคัญ เช่น การยอมรับของสังคมไทยโดยส่วนรวมเกี่ยวกับวิถีใหม่ของการอยู่ร่วม หมายถึงยอมรับว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงของการอยู่ร่วมกัน มิใช่ขอให้หยุดยิงแล้วอยู่เหมือนเดิมมันก็ไม่ใช่ และที่สำคัญความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมในปัตตานีเองจะเป็นตัวกดดัน และเป็นผู้ถือคำตอบอยู่ ซึ่งพวกเขาจะต้องพูดออกมาว่าอยากอยู่อย่างสันติสุข และที่สำคัญความเข้มแข็งของการเมืองไทย แต่ตราบใดที่ไม่แก้ไขการเมืองภาพรวมของไทย จะไปทำของที่เป็นเรื่องเฉพาะเป็นเรื่องยาก เพราะต้องมีผู้นำการเปลี่ยนแปลง
พื้นที่พอใจกระบวนการเจรจาสันติภาพจากฐานล่าง
ด้าน ผศ.ดร.ศรีสมภพกล่าวว่า สันติภาพต้องมีกระบวนการที่ยาวนาน หลายชั้น และต่อเนื่อง การเจรจาเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ข้างล่างยังมีส่วนที่ใหญ่และลึกกว่า เพราะมีองค์ประกอบของคนส่วนต่างๆ ในสังคม และเป็นส่วนที่มีความสำคัญมาก
กระบวนการสันติภาพ เป็นกระบวนการทางสังคม ไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง ต้องอาศัยคนหลายฝ่าย ถ้าเรารอเพียงแค่หยุดยิงอย่างเดียวคงไม่ใช่หากปัญหาในเชิงโครงสร้าง รากเหง้าไม่ได้แก้ เป็นสิ่งท้าทายที่เราเผชิญในปัจจุบัน
สำหรับตนเอง มองกระบวนการสันติภาพในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาว่ามีความสำเร็จคือมีการประกาศ และยอมรับพูดคุย ของทั้งสองฝ่าย มีความพยายามลดความรุนแรง ซึ่งมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ และเกิดสิ่งหนึ่งที่เห็นว่าเป็นความก้าวหน้าในกระบวนการเจรจาสันติภาพที่ไม่ใช่คู่เจรจาและเป็นพลังที่สำคัญ คือคนในสามจังหวัดตื่นตัว ให้การยอมรับสนับสนุนค่อนข้างมาก ในช่วงครั้งแรกมีการทำโพล์ประชาชนในพื้นที่พบว่า 60 % ของกลุ่มตัวอย่า 2,000 คน เห็นด้วยกับกระบวนการสันติภาพ ต่อมาจัดทำเป็นครั้งที่ 2 พบความคิดเห็นที่เห็นด้วย 70 % สะท้อนว่าท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ต้องการให้กระบวนการสันติภาพเกิดขึ้น ซึ่งตรงจจุดนี้ตนเห็นว่ เป็นพลังมากกว่า ความต้องการของประชาชนที่แสดงออกมา เติบโตมาก แม้จะไม่เข้มแข็งพอ แต่เติบโตอย่างมาก มีการทำเวทีจำนวนมาก มีคนไทยพุทธในพื้นที่ที่ช่วงแรกระมัดะวังไม่เข้าร่วมเปิดเผยตัว แต่ตอนนี้มีการขึ้นเวทีสันติภาพ อภิปราย ตั้งเป็นเครือข่ายเป็นกลุ่มคนไทยพุทธเพื่อสันติภาพ บรรยากาศของการพูดคุยระหว่างประชาชนมากขึ้น มีการเจรจาระดับด้านล่าง ระดับประชาชน เกิดการขับเคลื่อนมา ทำให้ตนมองว่ายังมีอนาคตอยู่ ทั้งๆ ที่การพูดคุยระดับผู้นำ ชะงักลงก็ตาม
ความสงบของภาคใต้เกี่ยวเนื่องกับความเข้าใจของสังคม
สำหรับทัศนคติคนไทยส่วนใหญ่ต่อสถานการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นปัญหาจริๆ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ เห็นว่าปัญหาภาคใต้ไกลตัว เราได้พยายามสื่อไปยังวงกว้าง แต่ยังจำกัด คนจับประเด็นภาพความรุนแรง ความโกรธแค้น ไม่พอใจ ทั้งที่อารมณ์ของคนในพื้นที่เปลี่ยนไป แต่ภายนอกมองมาไม่เปลี่ยน สะท้อนความคิดของคนไทยส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ค่อยดีนักและสะท้อนให้เห็นในความขัดแย้งที่ส่วนกลางด้วย ซึ่งแนวทางสันติภาพจะเกิดยากหากมีความรู้สึกหรือการแสดงออกที่รุนแรง
“อนาคตของกระบวนการสันติภาพอยู่กับความรู้สึก อารมณ์ของคนส่วนใหญ๋ในประเทศไทยด้วย ถ้าเราจะเดินไปในแนวทางสันติภาพ ทำอย่างไรจะให้โมเดลภาคใต้ กระดอนไปสู่ด้านบน อย่างน้อย มองเห็นว่า ในความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้น คนที่นั่นยังพยายามจะให้เกิดการพูดคุยสันติภาพ แต่ความขัดแย้งในกรุงเทพที่หันไปหาความรุนแรง แทนที่จะหันไปหาสันติภาพ เมื่อถอดประสบการณ์แล้วเห็นว่า ควรจะสร้างพื้นที่กลาง พื้นที่ร่วมของประชาชน จะเป็นแรงหนุน ให้เกิดการพูดคุยของผู้ขัดแย้ง ถ้าเราใช้ประสพการณ์ภาคใต้ไปแก้ปัญหาส่วนกลาง แล้วเราจึงจะกลับไปแก้ปัญหาภาคใต้ได้ การเดินทางของสันติภาพ มีความต่อเนื่อง มีกลไก หากเราจะมีกระบวนการสันติภาพในภาคใต้ที่ยั่งยืน ต้องให้แนวทางสันติภาพเกิดกับสังคมไทยส่วนใหญ่ด้วย”
รูปธรรมการให้อภัยแบบองค์รวมเพื่อพลิกบรรยากาศ
ผศ.ดร.สุชาติ กล่าวว่า โจทย์ใหญ่สันติภาพชายแดนใต้ เกี่ยววข้องกับภาวะการเมืองที่เป็นเช่นนี้อยู่ด้วย สิ่งที่ตนคิดคือปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ไม่ใช่ปัญหาชายแดน แต่เป็นปัญหาการยอมรับกับสาธารณะเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งต้องจะทำความเข้าใจ แพราะแม้ไม่ใช่คนใต้ แต่มุสลิม หรือคนเหนือก็ได้รับผลกระทบ เช่นกรณีเกิดเหตุการณ์ครูจูหลิง หรือผู้พิพากษาชาวสารภีเสียชีวิต ช่วงนั้นมีใบปลิวโจมตีชาวมุสลิมในภาคเหนือ ผู้หญิงมุสลิมถูกชี้หน้าด่ากลางสี่แยก
ตนเห็นว่าเรื่องการให้อภัยจากส่วนรวมเป็นเรื่องสำคัญ และมีตัวอย่างในต่างประเทศที่มีการรำลึกถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งแต่มีการให้อภัยกันเป็นต้น
ผศ.ดร.สุชาติ ยกตัวอย่างหมู่บ้านชาเตี๊ยงที่ยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมจีนราวปี 1974-75 หมู่บ้านนี้ถูกทหารล้อมนานนับสัปดาห์ เกิดการต่อสู้จนในที่สุดบ้าน 4,000 กว่าหลังถูกเผา คนตาย 1,600 ศพ
“ผมเดินทางไปที่ฝังศพชาวมุสลิมที่นั่นพบอนุสาวรีย์อัชชาหีบ ซึ่งบ่งบอกถึงว่าคนพวกนี้ตายในนามของพระเจ้า แล้วมีชื่อภาษาจีนเรียงต่อท้าย ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองฮาลีลายอ จะมีพี่น้องชาวมุสลิมล้อมอนุสาวรีย์เพื่อละหมาด ซึ่งในพิธีนั้นจะเชิญคนของรัฐบาลจีนมาร่วมงานด้วย การที่เขาทำเช่นนี้เพื่อให้เกิดการจดจำ เพื่อที่จะได้ให้อภัย และจดจำว่าไม่ให้ความรุนแรงแบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะเราจะต้องอยู่ร่วมกันต่อไป ตัวอย่างนี้จะพอเป็นรูปธรรมของการให้อภัยจากส่วนรวมได้หรือไม่”
ผศ.ดร.สุชาติกล่าวว่า รัฐไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการสร้างการจดจำในลักษณะนี้ แม้แต่นักวิชาการมุสลิมเองก็ไม่ให้ความสำคัญ ครั้งหนึ่งนักศึกษาเคยถามอาจารย์มุสลิมท่านหนึ่งว่า มีอนุสาวรีย์ในเมืองตั้งมากมายแต่ทำไม ไม่มีอนุสาวรีย์ตากใบ อาจารย์ท่านนั้นตอบว่าจะสร้างขึ้นมาทำไม สร้างขึ้นมาเพื่อให้จดจำอะไร
ผศ.ดร.สุชาติ ยังกล่าวถึง การที่ในพื้นที่มีโครงการนำผู้นำ เยาวชนมุสลิมภาคใต้มาดูเยี่ยมพี่น้องมุสลิมตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันในวิถีที่แตกต่างหลากหลาย แต่ แทนที่จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน เช่นเป็นต้นว่า ชุมชนมุสลิมซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยสามารถอยู่ร่วมกับชาวพุทธที่เป็นคนกลุ่มใหญ่อย่างไร กลับกลายเป็นว่า พาไปกินข้าวซอย ชมดอยสุเทพ พอเด็กกลับไปกลับกลายเป็นความตึงเครียด เพราะบางครั้งก็พาไปดูในสิ่งที่ผิดหลักศาสนา เช่นการแสดงที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้สิ่งที่ละเอียดอ่อน
“กระบวนการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนนั้น ควรเริ่มสร้างตั้งแต่ความขัดแย้งยังไม่เกิด การสร้างสันติภาพไม่ได้หมายความว่าต้องสร้างเมื่อความขัดแย้งมันเกิด การสร้างสันติภาพอาจจะต้องเตรียมพื้นฐานอะไรอีกมากมายเพื่อไม่ให้เกิดบรรยากาศหรือเงื่อนไขของความขัดแย้ง เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าประเด็นในภาคใต้ที่มันมีทั้งประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ ความเป็นมุสลิม ความเป็นชาติพันธ์ต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องให้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง” ผศ.ดร.สุชาติ กล่าว
ผศ.ดร..ศรีสมภพกล่าวถึงกรณีกลุ่มเยาวชนของมลายู ว่าเป็นกลุ่มพลังที่สำคัญ ซึ่งตนเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่เขากล้าพูด และรัฐไทยเปิดให้เขาแสดงออก มิเช่นนั้นเขาอยู่ใต้ดิน หากมีพื้นที่กลางในที่สาธาณ ก็จะปลอดภัย เราต้องยอมรับว่าควรรู้สึกเชื่อมันในอัตลักษณ์ หรือต่อชาติพันธุ์นิยมมาเลย์ที่สูงมากมีอยู่ ซึ่งถ้าเรายอมรับว่ามีอยู่ แต่หาทางออกที่ยึดแนวทาง ไม่ใช้ความรุนแรง
รศ.ดร.มาร์คกล่าวว่า เรามองข้ามพลังของการขอโทษไม่ได้ เพราะเห็นตัวอย่างในหลายประเทศ เช่นที่ อ.สุชาตินำเสนอ กรณีภาคใต้การขอโทษและให้อภัยเป็นสิ่งสำคัญ แต่ใครจะขอโทษได้ ใครให้อภัยได้ สำหรับเขาแล้วผู้ขอโทษคือสถาบัน รัฐไทย และผู้แทนให้อภัยคนเห็นว่าสามจังหวัดมีพลังที่จะเป็นตัวให้อภัยคือศาสนา ซึ่งหากเกิดขึ้นได้ จะพลิกบรรยากาศได้ แม้เรื่องจะยังไม่จบเลยทีเดียว ปัญหาหลักในสามจังหวัดชายแดนใต้คือความระแวง การระแวงคือเรื่องของใจ ตราบใดที่มองปัญหาสามจังหวัดเป็นเรื่องความมั่นคงก็จบ เพราะปัญหาที่แท้จริงเป็นปัญหาจริยธรรมการอยู่ร่วมกัน จึงเป็นเรื่องที่ น่าจะศึกษาดูถึงแนวทางทำให้เกิดเรื่อขอโทษและให้อภัย