“เราแยกตัวเองจากสังคมไม่ได้หรอก”
คำพูดของพี่คนหนึ่งที่รู้จัก
จากครั้งแรกที่ได้ยิน, ประโยคนี้ก็แว้บเข้ามาในหัวบ่อยขึ้นทุกวัน ทุกวัน จนตอนนี้ฉันขอยกให้เป็นประโยคที่เป็นความจริงที่แท้ของโลก เพราะมีหลายเรื่องราว, ทั้งที่ได้ยินมาและประสบพบเจอด้วยตัวเอง, ต่างก็คอนเฟิร์มความจริงที่แท้นี้ — เรื่องราวจากเมืองน่านก็เช่นกัน
การไปน่านครั้งแรกของฉัน ถ้าไม่นับว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ฉันชอบวิวในภาพนี้ที่สุด (ถ้ายืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ จะเห็นความโล้นสุดลูกหูลูกตา จนต้องร้องว่า “โอ้โหววว”) เมืองน่านกำลังดังเพราะภูเขาหัวโล้นที่เกิดจากการทำไร่ข้าวโพด ถ้ามองลงมาจากเครื่องบิน(ใบพัด) ก็จะเห็นความโล้นที่ต้องเรียกว่า โล้นมากๆ โล้นสุดๆ โล้นโคตรๆ โล้นมากที่สุดของโคตรของโคตร ฯลฯ
หลังจากได้เรียนรู้ประเด็นเรื่องการทำไร่ข้าวโพด (จนพอรู้เรื่องขึ้นมาบ้างเล็กน้อย) ก่อนกลับฉันแวะเข้าไปในตัวเมืองน่าน เดินถือกล้องสัมภาษณ์คนน่านไปเรื่อย จนเจอน้ากับป้าที่ขายของกินอยู่หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง น้าขายลูกชิ้นทอด ป้าขายน้ำปั่น มีรสมะนาว บลูเบอร์รี่ โคล่า รสมะนาวอร่อยดี – แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น – ประเด็นคือบทสนทนาข้างล่างนี้
ฉัน: ภูเขาหัวโล้นเมืองน่านเกิดจากอะไร น้ากับป้ารู้มั้ยคะ
น้า: ก็ข้าวโพดไง คนข้างบนเขาปลูกข้าวโพด
ฉัน: แล้วรู้สึกยังไงบ้าง?
ป้า: เสียใจ
ฉัน: เสียใจเพราะ?
ป้า: ก็เสียใจที่ทำกันได้ถึงขนาดนี้ เอาป่าไปหมดจนไม่เหลือแล้ว เอาอะไรลูก (หันไปถามเด็กที่มาซื้อน้ำ)
ฉัน: หนูขึ้นไปถามชาวบ้านข้างบน เขาบอกว่า ถ้าไม่ทำข้าวโพดเขาก็ไม่รู้จะไปทำอะไร
น้า: ใช่ เขาก็พูดแบบนี้แหละ เขาคิดว่าเขาไม่มีตัวเลือก แต่จริงๆ เขาไม่ยอมเปลี่ยนเอง
บทสนทนาดำเนินไป ป้ากับน้าทั้งสองตอบไปขายของไป แกดูขายดี อาจเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกเรียนพอดี
ฉัน: ขายดีนะคะเนี่ย
ป้า: ขายดีมาก เด็กมันเยอะ
มีน้องผู้หญิงสองคน วัยประมาณ ม.ต้น เดินมาซื้อลูกชิ้นทอด ฉันคิดอะไรไม่รู้เลยหันกล้องไปทางน้องแล้วถาม
ฉัน: น้องรู้มั้ยว่าทำไมภูเขาเมืองน่านหัวโล้น?
น้อง: (มองหน้า ยิ้มแห้งๆ ไม่ตอบ)
ฉัน: เหย ไม่ต้องอาย หรือว่าไม่รู้จริงๆ เนี่ย?
ป้า: ตอบเขาไปสิลูก
น้อง: (ก้มหน้า เลือกลูกชิ้น ไม่ตอบ)
ป้า: พี่เขามาทำสารคดี ตอบเขาไปเลยลูกเขาจะได้ช่วยบ้านเราได้ บอกเขาไปเลยว่ามันมีคนตัดไม้ทำลายป่า
น้อง: (ยิ้มแห้งๆ จ่ายเงิน เดินไป)
ป้า: เด็กพวกนี้เขาไม่ตอบหรอก ก็พ่อแม่เขานั่นแหละปลูกข้าวโพดแล้วส่งลูกลงมาเรียนหนังสือในเมือง
… ฉันรู้สึกแปลก จริงๆ มันอาจจะไม่ใช่ความแปลก แต่ก็นั่นแหละ ฉันไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองตอนนั้นว่าอะไร
หลังจากคุยต่อพักหนึ่งฉันก็เดินออกมา เพราะเด็กเลิกเรียนกันเยอะแล้ว ทำให้ป้ากับน้ายุ่งเกินกว่าจะคุยกันได้สะดวก
ฉันเดินไปคิดไป ว่าเป็นไปได้มั้ยที่ครึ่งหนึ่งของเด็กในโรงเรียนมีพ่อแม่ทำไร่ข้าวโพดอยู่ข้างบน
ฉันเดินไปคิดไป ว่าน้องสองคนนั้นจะกลับมาซื้อของร้านป้าอีกมั้ยนะ
ฉันเดินไปคิดไป ว่าถึงเป็นอย่างนั้น ป้าก็คงไม่ได้ขาดรายได้มากนักหรอก
บนเครื่องบินใบพัดจากน่านกลับดอนเมือง ฉันคิดถึงประโยคของพี่ที่รู้จัก
“เราแยกตัวเองจากสังคมไม่ได้หรอก”
แล้วก็คิดว่า หรือฉันควรเลิกกินเนื้อสัตว์ที่ถูกเลี้ยงด้วยข้าวโพดจากภูเขาหัวโล้นเมืองน่าน?
อืม, ถ้าจะต้องเลิกกินจริงๆ มันก็คงยากพอๆ กับการที่น้องนักเรียนสองคนนั้นต้องตอบคำถามของคนแปลกหน้าว่าทำไมภูเขาบ้านเธอถึงแทบไม่มีต้นไม้เหลืออยู่เลย