เมื่อวันเสาร์ที่ 23 กค.2559 กิจกรรม”ผู้ว่าฯศุภชัยเยี่ยมชมชน” ได้ลงพื้นที่ อ.ปง..เพื่อเยี่ยมเยี่ยนกิจกรรมชุมชน ในการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ และการดำรงชีพ ของพี่น้องประชาชน เพื่อให้กำลังใจและแนะนำ รับทราบปัญหาในการดำเนินกิจกรรม
วันนี้ท่านศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ,นางปัทมา เอี่ยมสุวรรณ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดพะเยา และคณะ ท่านศิโรจน์ นิมมานพัชรินทร์ ได้ลงเยี่ยมชมกิจการอาชีพการปลูกเสารสหวาน ของท่านกำนันตำบลผาช้างน้อย..
เสาวรสหวาน ผลไม้มหัศจรรย์ที่มีสรรพคุณในการช่วยลดไขมันในเลือด สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และช่วยชะลอวัยได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และแก้อาการนอนไม่หลับต่างหาก ซึ่งจากการที่มันมีประโยชน์มากมายหลายอย่างอย่างนี้นี่เองมันจึงกลายเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมในการบริโภคมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณในปัจจุบันนี้
เสาวรสหวาน เป็นพืชประเภทเถาเลื้อย โดยปกติเสาวรสจะมี 2 ชนิด คือ เสาวรสเปรี้ยว ซึ่งมีทั้งพันธุ์สีม่วงและพันธุ์สีเหลือง แต่เสาวรสหวานจะเป็นพันธุ์ที่มีผลสีม่วง มีรสหวานและนิยมกินผลสด แต่ก็สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างเช่น น้ำผลไม้ ไอศกรีม ฯลฯ ได้เช่นกัน โดยปัจจุบันพันธุ์เสาวรสหวานที่ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกกันมากๆ นั่นก็คือ เสาวรสหวานเบอร์ 2 ชนิดผลสีม่วงนั่นเอง
วิธีการปลูกเสาวรสหวาน
ก่อนที่เราจะทำการปลูก เสาวรสหวาน เราจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เสียก่อน นั่นก็คือ ในการปลูกเสาวรสพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกสมควรสูงประมาณ 700-1,000 เมตร โดยพื้นที่ปลูกจะต้องมีแดดจัด ไม่มีน้ำขัง และไม่ลาดชันมากจนเกินไป ส่วนในเขตที่มีฝนตกชุกอาจติดผลไม่ดีนัก และมีปัญหาผลเน่า
ในการปลูกจะต้องเตรียมต้นพันธุ์เสาวรสโดยจะต้องทำการเพาะเมล็ดสำหรับใช้เป็นต้นตอ ซึ่งจะใช้เมล็ดจากเสาวรสพันธุ์สีเหลืองนำไปเพาะในตะกร้า เมล็ดจะงอกภายใน 7-10 วัน เมื่อต้นกล้าอายุ 15-20 วัน จึงย้ายลงถุงปลูก และเมื่อต้นกล้าอายุได้ 2 เดือน จึงพร้อมสำหรับการเปลี่ยนยอดพันธุ์ โดยตัดยอดของต้นพันธุ์ออกแล้วนำเอายอดพันธุ์ของเสาวรสพันธุ์หวานมาต่อติดกับต้นพันธุ์โดยใช้เชือกผูกติดกันไว้ หลังจากนั้นให้ใช้ถุงพลาสติกครอบไว้ เมื่อต้นพันธุ์ต่อกันเรียบร้อยให้ทำการปลูกลงแปลงที่ผสมดินก่อนปลูกไว้เรียบร้อยแล้ว โดยการผสมดินจะต้องรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 1 กก. + ปุ๋ยเคมี 15-15-15 จำนวน 1,000 กรัมต่อหลุม ที่สำคัญต้องมีค้างเพื่อให้เสาวรสหวานยึดเกาะด้วย ส่วนในการปลูกต้องให้รอยต่อของกิ่งพันธุ์สูงกว่าพื้นดินเล็กน้อย แล้วทำการคลุมโคนต้นด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง ต่อจากนั้นเมื่อต้นพันธุ์โตขึ้นให้ผูกเถาเข้ากับค้างให้ยอดตั้งตรงและจัดทรงของเสาวรสหวานให้กระจายทั่วค้าง และเมื่อถึงช่วงของการเริ่มติดผลให้ใส่ปุ๋ยเคมี 45-0-0 และปุ๋ย 15-15-15 จำนวน 1,000 กรัมต่อต้น ทุก 15 วัน ส่วนในระยะติดผลให้ใส่ปุ๋ยเคมี 13-21-21 และปุ๋ย 0-0-50 จำนวน 50 กรัมต่อต้นทุก 15 วัน หลังจากนั้นก็ทำการเก็บเกี่ยวในระยะที่เหมาะสม แล้วนำมาผึ่งให้ผิวผลแห้งจึงค่อยนำไปบ่ม ซึ่งในการบ่มจะต้องนำแคลเซียมคาร์ไบด์ (ถ่านแก๊ส) ใส่ในภาชนะเล็กๆ หรือห่อกระดาษ เติมน้ำเล็กน้อยให้เกิดก๊าซอะเซทธิลีนแล้วปิดภาชนะทิ้งไว้ 3-5 วัน ก็จะได้ผลเสาวรสหวานที่พร้อมขายตามที่ต้องการแล้ว
เสาวรสหวานมีข้อดีเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่นนั่นก็คือ มันสามารถปลูกได้ง่ายทุกสภาพดิน ซึ่งเพียงแต่ใส่ปุ๋ย รดน้ำวันเว้นวัน หมั่นกำจัดวัชพืช โรคและแมลง มันก็พร้อมที่จะออกผลผลิตให้กับเกษตรกรได้โดยง่าย ส่วนโรคที่เจอบ่อยๆ ของเสาวรสหวานก็จะมีโรคไวรัส โรคใบจุด โรคโคนเน่า และโรคผลเน่า ซึ่งเกษตรกรก็ต้องหมั่นตรวจตราดูแลและถ้าหากเกิดโรคดังกล่าวก็ต้องทำการฉีดพ่นสารเคมี เพื่อให้เสาวรสหวานมีความแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมที่จะผลิดอกออกผลให้กับเกษตรกรต่อไป
และด้วยความที่เสาวรสหวานยังมีแนวโน้มความต้องการของตลาดสูงมาก เพราะผู้รักสุขภาพส่วนใหญ่ก็หันมาให้ความสำคัญและนิยมบริโภคเสาวรสหวานกันอย่างมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เสาวรสหวานเป็นที่ต้องการและยังมีผลผลิตไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นหากใครจะหันมาปลูกเสาวรสหวานก็นับว่าเป็นหนทางสว่างที่น่าออกเดินทางค้นหาอีกทางหนึ่งเช่นกัน