นักวิชาการจากหลายหน่วยงานร่วมสัมมนาเสนอข้อมูลโรงไฟฟ้าขยะ ประสานเสียงให้ทบทวนโครงการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะ – โรงไฟฟ้าเชียงรากใหญ่ เป็นแหล่งน้ำดิบสำคัญ หากปนเปื้อนจะกระทบผู้ใช้น้ำประปาทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 12 ล้านคน
เรื่อง: มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH)
29 มี.ค. 2559 มูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และคณะสังคมวิทยาและมานุษวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “ธรรมาภิบาลเพื่อการจัดการขยะอย่างยั่งยืน” : กรณี “ศูนย์กำจัดขยะและโรงไฟฟ้าเชียงรากใหญ่” ณ ศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์รังสิต จ.ปทุมธานี โดยมีผู้สนใจจากทั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใน จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการ นักวิชาการ นักศึกษา สื่อมวลชน และประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายเร่งรัดส่งเสริมการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะทั่วประเทศ อาทิ ปทุมธานี นครสวรรค์ นครนายก สระบุรี สุราษฎร์ธานี เป็นต้น เข้าร่วมกว่า 400 คน
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในระหว่างการเปิดสัมมนาว่า การกำจัดขยะที่ผ่านมาทำผิดวิธี เรียกว่าฝังกลบ แต่จริงๆ ไม่ได้ฝังและไม่ได้กลบ การกำจัดขยะหรือการจะสร้างเตาเผาอาจจะเป็นความคิดที่ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะก่อผลดีเสมอไป ประเด็นสำคัญคือ โครงการนี้ควรจะสร้างที่ไหน เรื่องนี้จำเป็นจะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจด้วย เมื่อประชาชนจำนวนมากไม่เห็น โครงการนั้นควรจะสร้างหรือไม่
การสัมมนาวันนี้มีความหมายอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่สำหรับอนาคตของชาวเชียงรากใหญ่และคนจังหวัดปทุมธานีเท่านั้น แต่ยังจะเป็นกรณีศึกษาแก่พื้นที่อื่นต่อไปด้วย และหวังว่าการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวันนี้จะได้นำเสนอแก่รัฐบาลต่อไป
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ให้ข้อมูลว่า การจัดการขยะตามวาระแห่งชาติของรัฐบาลเน้นแต่เรื่องเทคโนโลยี่และการลงทุนของเอกชน ละเลยการมองปัญหาขยะที่เชื่อมโยงกับมิติอื่นๆ เช่น มิติด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม ระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ธรรมาภิบาล และยังมีการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง ที่จะก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาว
“ความจริงแล้วการจัดการขยะมีแนวทางอื่นอีกมาก การเผาทิ้งและการสร้างโรงไฟฟ้าไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหาได้เลย ตรงกันข้ามจะยิ่งทำให้ปัญหาขยะรุนแรงขึ้นและความขัดแย้งจะสูงขึ้น” เพ็ญโฉมกล่าว
เพ็ญโฉม กล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีชุมชนที่ลุกขึ้นมาคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าขยะอย่างน้อย 30 กรณี และการสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะยังมีต้นทุนสูงมาก รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณของแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย 5 ปี สูงถึง 178,600 ล้านบาท จำนวนเงินที่สูงขนาดนี้จะนำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่นของข้าราชการและผู้เกี่ยวข้อง โดยไม่ก่อประโยชน์แก่ประเทศ และกลับจะก่อให้เกิดหนี้สินผูกพันในระยะยาวด้วย
“แนวทางจัดการขยะตามวาระแห่งชาติของรัฐบาลที่เร่งรัดนี้ทำให้รัฐบาลขาดธรรมาภิบาลหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น กรณีของโรงไฟฟ้าขยะเชียงรากใหญ่นั้น ไม่มีธรรมาภิบาลในการปฏิบัติตามเกณฑ์การคัดเลือกพื้นที่ตั้งโครงการ ขาดการมีส่วนร่วมและขาดการรับฟังความเห็นของประชาชน รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่ฟังเสียงประชาชนน้อยมากจริงๆ” ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศกล่าว
ปัญญา แก้วมุข ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.เชียงรากใหญ่
ถัดจากนั้น นายปัญญา แก้วมุข ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.เชียงรากใหญ่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี กล่าวถึงพื้นที่เชียงรากใหญ่ซึ่งพื้นที่เป้าหมายของโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะแห่งนี้ว่า สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 0.5 เมตร เป็นพื้นที่อ่อนไหวทางระบบนิเวศ อีกทั้งประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่กว่า 6,000 คน ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำ ซึ่งประกอบไปด้วยแม่น้ำเจ้าพระยาและลำคลองสาขาอีก 20 กว่าสาย ทั้งเพื่อทำการเกษตรและประมงน้ำจืด นอกจากนี้ขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่ยังมีน้อยมาก คือเพียงวันละไม่เกิน 4 ตัน ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าฯ มีแผนที่จะรับขยะเข้ามากำจัดมากถึง 1,800 ตัน/วัน
“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เคยลงมาชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนเลย ยิ่งทำให้คนเชียงรากใหญ่กังวลเป็นอย่างยิ่ง พื้นที่เชียงรากใหญ่เป็นพื้นที่เกษตร เรื่องน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด พื้นที่เป้าหมายของโครงการยังอยู่เหนือสถานีสูบน้ำดิบของการประปานครหลวง และโรงสูบน้ำของการประปาส่วนภูมิภาคอีกหลายสถานี ปัญหามลพิษที่จะตามมา ใครก็คาดการณ์ไม่ได้ แต่เรามีวิธีการที่จะป้องกันได้ ณ วันนี้” นายปัญญากล่าว
ดร.สุนทรี รัตภาสกร นักวิชาการด้านวิศวกรรมเครื่องกล และหนึ่งในประชาชนชาวเชียงรากใหญ่
ด้าน ดร.สุนทรี รัตภาสกร นักวิชาการด้านวิศวกรรมเครื่องกล และเป็นหนึ่งในประชาชนชาวเชียงรากใหญ่ ได้อธิบายให้ข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานของโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ซึ่งได้ทำการศึกษาค้นคว้ามา ก่อนกล่าวถึงกรณีของเชียงรากใหญ่ว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาที่มีการพูดคุยเรื่องนี้กัน แต่ทางบริษัทก็ไม่เคยให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ชุมชนเลย ทั้งที่โครงการนี้มีแผนจะรับขยะเข้ามากำจัดที่นี่สูงถึง 1,800 ตัน/วัน บนพื้นที่เพียง 140 ไร่เศษเท่านั้น และเมื่อดูแผนผังโครงการของบริษัทก็ยิ่งตกใจ เพราะจะสร้างโรงงานเต็มพื้นที่ โดยไม่มีพื้นที่สำหรับเป็นแนวกันชนระหว่างชุมชนกับโรงไฟฟ้าเลย ทั้งที่จะตั้งอยู่ห่างจากชุมชนไม่ถึง 200 เมตร
“แม้ว่าทางบริษัทจะอ้างว่าได้พาเจ้าหน้าที่ในจังหวัดปทุมธานีไปดูงานโรงไฟฟ้าขยะของประเทศญี่ปุ่น แต่โรงงานกำจัดขยะของญี่ปุ่นที่มีการอ้างถึงนั้น รับกำจัดขยะเพียงวันละ 525 ตันบนพื้นที่ 300 ไร่ หากเปรียบเทียบกำลังการผลิตแล้วจะเห็นว่าโรงไฟฟ้าขยะเชียงรากใหญ่เพียงแห่งเดียวสามารถเทียบได้กับโรงไฟฟ้าขยะของประเทศญี่ปุ่นถึง 17 โรงรวมกัน”
“ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ การสร้างโรงไฟฟ้าไม่ใช่ว่าจะเผาอะไรก็ได้ ขยะซึ่งมีความชื้นสูงกว่า 25 เปอร์เซ็นต์จะเป็นปัญหามาก ประสิทธิภาพการเผาจะลดลง ขยะชิ้นใหญ่ที่มีความชื้นสูงเมื่อเผาไหม้ไม่สมบูรณ์จะก่อให้เกิดสารไดออกซินและสารอันตรายอื่นๆ อีกหลายชนิดที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม”
ผศ.ดร.กำพล นันทพงษ์ อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า โรงไฟฟ้าขยะเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษหลายชนิด เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและปอด สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์และกลุ่มสารไนโตรเจนออกไซด์ที่จะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ สารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งจะก่อให้เกิดการปนเปื้อนของแหล่งน้ำ และยังมีสารไดออกซินซึ่งอันตรายมากและต้องใช้งบประมาณสูงในการตรวจวัดเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม และกล่าวย้ำด้วยว่าบุคลากรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งหมดพึ่งพาแหล่งน้ำประปาจากพื้นที่เชียงรากใหญ่ด้วย
ชัยวัฒน์ วรพิบูลย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการประปานครหลวง (กปน.)
ชัยวัฒน์ วรพิบูลย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการประปานครหลวง (กปน.) กล่าวบนเวทีสัมมนาว่า โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ ต.เชียงรากใหญ่ อยู่ใกล้แหล่งน้ำดิบสำแล ซึ่งการประปานครหลวงใช้ในการผลิตน้ำประปาถึงร้อยละ 70 สำหรับส่งให้กับคนกรุงเทพและปริมณฑล
“เราเชื่อว่ามลพิษที่จะเกิดจากโรงไฟฟ้าขยะจะมีผลกระทบต่อแหล่งน้ำดิบที่นี่ ปัจจุบันน้ำที่รับมาจากพื้นที่เชียงรากใหญ่ได้รับมาตรฐานองค์การอนามัยโลก กปน.จึงมีความกังวลเรื่องนี้มาก ถ้าหากมีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำดิบจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ การจัดการขยะมีหลายวิธีการ ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าเท่านั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการลดปริมาณขยะลง และสิ่งที่ต้องทำคือการพูดคุยกัน ทั้งนี้โรงไฟฟ้าเชียงรากใหญ่ไม่น่าจะสร้างได้”
ชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความด้านสิ่งแวดล้อม
นายชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความด้านสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นทางกฎหมายว่าโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะเชียงรากใหญ่มีปัญหาทั้งในเชิงกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน และการปฏิบัติตามระเบียบของกรมควบคุมมลพิษว่าด้วยเกณฑ์การเลือกที่ตั้งโครงการกำจัดขยะ การขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่กำลังเป็นปัญหาอยู่
การมองเรื่องความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองของรัฐ ควรจะต้องมองเรื่องการลดความขัดแย้งในชุมชนลงด้วย ชาวบ้านในพื้นที่เชียงรากใหญ่และชาวบ้านในพื้นที่อีก 40-50 แห่งที่จะมีการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า แม้ว่าจะเดือดร้อนจากการยกเว้นการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและการระงับการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองก็ตาม แต่ก็ยังมีช่องทางทางกฎหมายอื่นๆ ที่จะนำมาใช้ปกป้องสิทธิ์และการมีส่วนร่วมของประชาชนได้อยู่