เมื่อประมาณ 4 ปีที่เเล้ว Beach for life ได้ร่วมงานกับกลุ่ม เด็กรักหาดสวนกง ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนในชุมชนบ้านสวนกง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา นำโดยไครียะ ระหมันยะ หรือ ลูกสาวเเห่งทะเลจะนะ ที่ได้ปกป้องชายหาดเเละทะเลบ้านสวนกง จากนิคมอุตสาหกรรมจะนะ โดยการร่วมเคลื่อนไหวกับประชาชนในพื้นที่อำเภอจะนะ จนรัฐบาลได้มี MOU ชะลอโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เเละดำเนินการทำ SEA จะนะ เพื่อศึกษาความเหมาะสมของอำเภอจะนะในการพัฒนาเศรษฐกิจก่อน
จะนะ
เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขว้าง ด้วยโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ลงมากดทับชุมชน โดยชื่อบ้านสวนกง นั้นเป็นพื้นที่หมายตา เป็นเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการสร้างนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มเด็กรักหาดสวนกง ถือกำเนิดขึ้นในปี 2559 ภายใต้ความพยายามผลักดันท่าเรือน้ำลึกสงขลาเเห่งที่ 2 เเละ เเลนด์บริจสงขลา-สตูล กลุ่มเด็กรักหาดสวนกง นำโดยไครียะ ระหมันยะ เเละเพื่อนๆอีก 4-5 คน ได้ร่วมกันศึกษาสภาพเเวดล้อมธรรมชาติในชุมชนโดยเฉพาะหาดทราย ร่วมกับกลุ่ม Beach for life เเละจัดทำฐานข้อมูลด้านต่างๆในชุมชน รวมถึง ภูมิปัญญา อันสะท้อนให้เห็นความมั่งคั่งของทรัพยากรธรรมชาติเเละการดำเนินชีวิตที่ใช้ทรัพยากรทางทะเลเเละชายฝั่งเป็นฐานหล่อเลี้ยงชุมชนมาอย่างช้านาน
ที่นี่บ้านสวนกง
บ้านสวนกงตั้งอยู่ ณ หมู่ 11 ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งอยู่ติดกับชายฝั่งทะเลอ่าวไทย และอยู่ระหว่าง ต.นาทับและต.ตลิ่งชั่น เป็นหมู่บ้านที่มีทะเลที่อุดมสมบูรณ์เต็มเปียมไปด้วยสัตว์น้ำในทะเลกว่า 144 ชนิด และมีเนินทราย 6,000 ปี ที่นักวิชาการได้มาสำรวจ ก็ว่ากว่า 7,000 ปี หมู่บ้านแห่งนี้อยู่กันมาทั้งหมด 4 ชั่วอายุคน เริ่มแรกชาวจีนมาอาศัยอยู่ก่อน บ้านสวนกงมาจากคนจีนเรียกพ่อของพ่อเป็นอาก๋อง จึงมีชื่อเรียกเป็นสวนกงมาจนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อก่อนคนส่วนใหญ่จะทำนาและออกประมงเป็นบางครั้ง หากชาวบ้านมีประมงก็จะเอาปลาที่ได้มาไปทำปุ๋ยเพื่อเอาไปทำนา อยู่ ๆ ชาวบ้านเห็นว่าการทำประมงได้ดีกว่าการทำนา ชาวบ้านจึงเลือกทำประมง 100% แทนนามาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อก่อนชาวบ้านออกทะเลไม่มีเครื่องมือใด ๆ ที่ทันสมัย ชาวบ้านจึงเลือกใช้ภูมิปัญญาแทนเครื่องมือต่าง ๆ พอถึงยุคที่ทันสมัย ก็เริ่มมีเรืออวนลากอวนรุนมาบุกรุกในเขตรัศมี 3,000 เมตร จนกระทั่งทรัพยากรและหน้าดินเสียหายจนไม่เหลือทรัพยากรให้ชาวบ้านได้ทำมาหากิน ชาวบ้านต้องตัดสินใจออกไปหากินนอกบ้าน (ประมงนอกบ้าน) แต่ด้วยความลำบากในการออกไปหากินนอกบ้าน เนื่องจากต้องแบ่งเป็น 2 หม้อข้าว หมายถึง คนที่ทำประมงจะต้องออกไปนอกบ้าน ได้กลับบ้านสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง (เพื่อมาประกอบพิธีละหมาดวันศุกร์) และคนที่อยู่บ้านคือภรรยาและลูกต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกเอง ภาระเเละสภาพดังกล่าวทำให้ชุมชนบ้านสวนกง เริ่มฟื้นฟูทะเลอย่างจริงจัง จนนำมาสู่ความอุดมสมบูรณ์ของทะเลจะนะ ริมชายหาดบ้านสวนกงอีกครั้ง
ข้อมูลการสำรวจของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น เผยว่าทะเลจะนะ คือในพื้นที่ตำบลสะกอม ตำบลตลิ่งชัน ตำบลนาทับ มีสัตว์น้ำอาศัยไม่ต่ำกว่า 140 ชนิด มีสัตว์น้ำหายาก เเละสัตว์อนุรักษ์ เช่น เต่า โลมา ปลากระเบน เป็นต้น สัตว์น้ำริมทะเลสร้างรายได้เเก่คนในชุมชน ครอบครัวละ 20,000-25,000 บาท ต่อเดือน เเละสัตว์น้ำจากท้องทะเลจะนะยังส่งไปยังตลาดปลาขนาดใหญ่ในพื้นที่ภาคกลาง เเละส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น ความอุดมสมบูรณ์ของทะเลจะนะ ยังสะท้อนผ่านภูมิปัญญาของชุมชนที่ผูกพันกับชายหาดอย่างเเยกจากกันไม่ได้
ภูมิปัญญาเเห่งบ้านสวนกง
กลุ่มเด็กรักหาดสวนกง ได้เก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องกับชายหาดเเละทะเล ภายใต้การสนับสนุนของโครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา ดำเนินการโดยสงขลาฟอรั่ม เเละมูลนิธิสยามกัมมาจล โดยทำการศึกษาจากคำบอกเล่า เเละลงสำรวจภูมิปัญญาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชายหาดเเละทะเล พบว่ามีดังนี้
ดูหลำ: คนฟังเสียงปลา
การดำน้ำฟังเสียงปลาภูมิปัญญาของชาวประมง ซึ่งไม่ธรรมดาเลย แม้เป็นส่วนหนึ่งของอาชีพชาวประมง แต่ชาวประมงถือว่าเป็นการมีเกียรติสำหรับเขา มีน้อยคนที่จะสามารถฟังเสียงปลาได้ แต่น่าเสียดายที่ดูหลำกำลังจะสูญหายไปจากท้องถิ่น
รุ่งเรือง ระหมันยะ หรือ บังนี ดูหลำแห่งบ้านสวนกง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ได้เล่าถึงเรื่องราวของการเป็นดูหลำให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่า
การดำปลาต้องใช้ทั้งประสบการณ์ ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง บวกกับการเอาใจใส่ในการถามคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ดังนั้นต้องค่อยๆ เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้เรื่องดูหลำไม่สามารถเรียนรู้ได้ในห้องสี่เหลียม จึงต้องใช่ทะเลเป็นห้องเรียน หากจะทำให้ ได้ยินเสียงปลาดีจะต้องดูน้ำตั้งแต่เช่ามืด ประมง ตี 4 ตี 5 เพราะช่วงนี้ปลาจะออกเสียงดีกว่าช่วงอื่น
รุ่งเรือง ระหมันยะ ดูหลำบ้านสวนกง อ.จะนะ จ.สงขลา
เพราะว่าตั้งแต่ช่วงค่ำ ปลาจะร้องหลายตัว จะร้องออกเสียงพร้อมกันหมด ทำให้รู้ว่ามีปลา แต่จับจุดไม่ถูก ปลาจะออกเสียงพร้อมกันหมด พอค่อยๆ จะสว่างมันจะค่อยๆ เงียบเสียงจนกระทั่งเหลือตัวสองตัว แต่ปลาก็ยังร่วมกันเป็นฝูง ซึ่งการรวมหรือไม่รวมฝูงปลานี้ขึ้นอยู่กับทิศทางลมด้วย
ส่วนใหญ่แล้วหากเป็นลมพัดอยู่(ลมตะวันตก) ปลาก็จะร้อง แต่ปลาจะเงียบไปเรื่อยๆ จะทำได้จนทั่งถึงตอนเที่ยงก็จะเป็นลมนอก(ลมตะวันออก) ปลาก็จะแตกฝูงกันออกไป เวียนอยู่แบบนี่ตลอดปกติแล้ว ปลาจะร้องเสียงไม่ดังมาก จะร้องเหมือนหุงข้าวแล้วข้าวกำลังจะเดือด บางทีเสียงดัง ‘ปอกแป๊ก’ แต่ปลาแต่ละชนิดจะดังไม่เหมือนกัน แต่คนที่ดำจะบอกได้ว่าเสียงที่ฟังจะเป็นเสียงปลาอะไร มีปลาอะไรบ้าง รู้แม้กระทั่งปลาที่ไม่ออกเสียง เช่น ปลาทู แต่ดูหลำสามารถเดาได้ เดาได้สองทาง คือ ไม่ใช่ปลาทู หรือ ปลาโคก
ดูหลำจะใช้เรียกปลาที่ไม่มีเสียง ว่า “ปลาบา” คือปลาที่มาพลอย (พึ่งพา/อาศัย) อยู่ในฝูงปลาที่มีเสียง ปลาเป็นพันตัวจะขยับพร้อมกัน หันหัวพร้อมกัน ได้ยินเสียง ‘วูม’ จะรู้ได้เลยว่าปลาอยู่ตรงนั้น เมื่อรู้ว่าปลาอยู่ตรงไหน ดูหลำต้องดำปลา การดำปลาต้อ มีเรือสองลำขึ้นไปลำเดียวได้ แต่จะได้ปลาน้อยเพราะปลาจะเดิน ทำให้ล้อมไม่ได้ ดังนั้นเวลาล้อมต้องใช้เรือ 2-5 ลำ แต่ลำเดียวจะเอาไม่อยู่ บางทีได้ยินเสียงปลาอยู่ตัวเดียวเท่านั้น แต่พอขึ้นมากลับได้ปลาเป็น 400-500 กิโลกรัม หรืออาจถึง 1,000 กิโลกรัมเลยหากว่าใช้เรือ 4-5 ลำ
คนฟังเสียงปลานั้นจะมีอุปกรณ์ บางคนใช้แกลลอน 5 ลิตร แล้วก็ว่ายน้ำไป บางคนก็ใช้เรือลำเล็กที่ทำกับโฟม การส่งสัญญาณระหว่างคนที่อยู่ในน้ำเพื่อฟังเสียงปลากับคนที่อยู่บนเรือ คนดำน้ำจะสาดน้ำเพื่อแสดงว่าให้เรือวาง คือ เรือที่อยู่กันเป็นวงกลม คนละด้านกัน 2 ลำก็ 2 ด้าน ถ้า 3 ลำก็ 3 ด้าน แล้วแต่จำนวนเรือ เมื่อคนสาดน้ำ หมายความว่าให้วางอวนได้เลย หากปลาเดินเร็วก็จะสาดน้ำเร็ว พอติดเครื่องแล้วเสียงเรือมันก็จะดัง
เมื่อเสียงเรือดัง ปลาก็จะเดิน
พอเดินพร้อมกันปลาก็จะงง ทิศเหนือก็ดัง ทิศใต้ก็ดัง ปลาจะอยู่ที่เดียว ว่ายน้ำกันอยู่ตรงนั้น ซึ่งการวางเรอพร้อมกัน 2 ลำไปจะเร็ว จะปิดปลาแน่นอน การลงดำแต่ละครั้งนั้นใช้เวลาไม่นาน ดำแค่พอให้รู้ว่าปลาอยู่ทิศไหน ก็ดำตามต่อไปเรื่อยๆ ลงไปแค่พอจมหูไม่ต้องลึก ดำพอได้ยินเสียง เพราะในทะเลจะเสียงดังกว่าบนฝั่ง 3-4 เท่า อยู่เป็นกิโลเมตร ก็ยังได้ยินและใช้เวลาในการจับจุด ก็ไม่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ก็ปลาสองซี่ เคาะดังๆปลาก็จะวิ่ง เคาะลำละ 2-3 ปลาก็จะวิ่งหมด
บังนี ทิ้งท้ายอย่างภาคภูมิใจ ว่า “คุณค่าของดูหลำนี่ ไม่เพียงแต่เป็นการทำงานที่สร้างรายได้ แต่เป็นการทำงานที่มีเกียรติ “เกียรติ” จากวันเวลาที่ได้สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น การลองผิดลองถูก สะสมประสบการณ์กันมาจนเกิดเป็นองค์ความรู้ ไม่ใช่แค่การฟังเสียงปลาหากรวมถึงการสังเกต การจดจำ และการเรียนรู้จากธรรมชาติ หวังว่าจะมีผู้สนใจ สืบทอดภูมิปัญญานี้ต่อไปนี้ เพื่อไม่ให้ดูหลำกลายเป็นเพียงภูมิปัญญาในความทรงจำของบ้านสวน”
เรือเกยหาด
หากพูดถึงบ้านสวนกงอำเภอจะนะ ต้องนึกถึงสิ่งนี้เป็นสิ่งแรก คือ หาดทรายบ้านสวนกงที่เป็นทรายที่ละเอียดและงดงาม หาดทรายเป็นแนวกันชนตามธรรมชาติ และเป็นพื้นที่แห่งความสุข พื้นที่ชีวิตของคนในชุมชน เช่น การจอดเรือ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และยังเป็นที่แข่งขันกีฬาเรือเกยหาด เป็นต้น
คุณกอดีรี ชายเห หรือ บังกอดีรี หนึ่งในกรรมการแข่งเรือเกยหาด ได้เล่าว่าที่จัดการแข่งขันกีฬาชนิดนี้ก็เพื่อให้คนอื่นได้เห็นถึงหาดททรายที่อุดมสมบูรณ์และแสดงให้เห็นว่าบ้านสวนกงยังมีหาดทรายอยู่ ซึ่งบางพื้นที่ในภาคใต้ก็ไม่มีหาดทรายที่สวยงาม เนื่องจากโดนเอาโครงสร้างแข็งต่างๆ มาวาง เช่น การวางกระสอบหน้าหาดทำให้หาดถูกทำลาย ในที่สุดหาดก็พัง
การแข่งขันเรือเกยนับว่าเป็นที่นี่ที่แรกของประเทศไทย
และคิดว่าน่าจะมีที่นี่ที่เดียว การแข่งขันกีฬาชนิดนี้เป็นการแข่งขันกีฬาที่แฝงไปด้วยความสนุกและแสดงให้คนที่มาดูเห็นคุณค่าของหาดทรายอีกด้วย จัดขึ้นครั้งแรกเมื่องานอะโบ๊ยหม๊ะครั้งที่3 พ.ศ. 2558 ที่สำคัญคือ เมื่อจะตัดสินแพ้/ชนะ ต้องดูเรือลำที่อยู่สูง ไม่ได้วัดกันที่ความเร็ว คือ เรือที่วิ่งเร็วกว่าไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญนั้นเรือจะต้องขึ้งมาอยู่บนหาดสูงกว่าก็ถือว่าเรือลำนั้นชนะไป
การแข่งขันมีอยู่สามประเภท คือ เป็นเรือความยาว 7 เมตร มี่กระดูกงู เรือความยาว 7 เมตรไม่มีกระดูกงูและเรือ 6 เมตร แต่ละประเภทนั้นจะมีกฏิกาที่เหมือนกัน ระยะทางก็เหมือนกัน โดยมีระยะทางประมาณ 400 เมตร เวลาแข่งจะแยกประเภทแต่ละประเภท จะมีรอบชิงเพียงรอบเดียวเท่านั้น แต่ละครั้งก็จะมีรางวัลแต่รางวัลจะไม่เหมือนกัน หากแพ้ก็จะมีรางวัลชมเชยให้ คือ คนที่มาแข่งกีฬาชนิดนี้จะไม่มีคนใดกลับไปมือเปล่า จะมีรางวัลให้ทุกลำ แต่ต้องตามลำดับ
คนเดินเต่า
การเดินเต่าเป็นภูมิปัญญาของชุมชนสมัยก่อน ซึ่งปัจจุบันนี้ภูมิปัญญานี้จะหายไปจากชุมชนแล้ว เพราะไม่มีคนสืบต่อภูมิปัญญา หาดทรายไม่มีเต่ามาวางไข่ และการเดินเต่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เมื่อก่อนมีคนชำนาญเดินเต่า ชื่อว่านายดีน และแระ แต่ตอนนี้ก็ได้เสียชีวิตแล้ว
เล่ากันว่า สมัยก่อน การเดินเต่าต้องดูดินฟ้าอากาศ คืนที่น้ำขึ้นและมีเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบเขาจะคาดเดาว่าจะมีเต่าขึ้นมาไข่ เหตุผลที่ต้องดูจากตรงนี้ ก็เพราะเวลาน้ำขึ้น น้ำจะลบรอยเต่าที่เดินมาไข่ไว้ได้ การเดินเต่าแต่ก่อนจะต้องคอยเฝ้าว่าเต่าจะขึ้นต้องไหน
แต่หากเต่ารู้ตัวก่อนเต่ามันก็จะไม่ขึ้น หรือบางคนอาจจะไปพบรอย คือ มันมีหลายวิธีแล้วแต่ภูมิปัญญาของใคร แต่พอพบรอยแล้ว กว่าจะไปถึงรังก็ต้องใช้เวลามาก เพราะเต่ามันมีความฉลาดมาก
เต่ามันจะทำรอยหลอกไว้ ที่จริงมันไข่อีกที่หนึ่งแต่มันจะทำรอยอีกทีหนึ่ง ความลึกรังก็ประมาณหนึ่งเมตร ซึ่งเป็นการยากที่จะขุด ต้องอาศัยภูมิปัญญาจริงๆ ที่จะหาพบ แต่ละรังจะต้องมีไข่ 120-130 ลูก คนแต่ก่อนเขาจะเก็บไข่มาไม่หมด คือ ใน 100 ลูก เขาจะเอาไว้สัก 20 ลูก
เต่าจะมีสองชนิด คือ เต่าบก กับ เต่าทะเล รอยเท้าเต่าทะเลจะใหญ่ แบน คล้ายพายหรือคล้ายๆ กับรอยเท้าที่เราบิดไม้พาย แต่รอยเท้าเต่าบกจะเป็นนิ้ว เราจะรู้ว่าเต่าทะเลจะขึ้นบก ก็ด้วยวิธีการเดินเต่า คือ การเอาไม้มาตำๆ ดู หากเป็นที่วางไข่ของเต่า เมื่อทิ่มไม้ลงไปก็จะพบไข่เต่า เต่าที่มาวางไข่บนชายหาด คือ เต่าตะนุ เต่าจะขึ้นมาวางไข่ในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน เต่าจะวางไข่ปีละครั้ง 70-80 ลูก ซึ่งที่วางไข่ของเต่าจะอยู่ห่างจากชายหาดประมาณ 5-7 เมตร เต่าจะวางไข่ปีละครั้ง จะมีรอยให้เห็น เต่าจะเดินขึ้นมาจากทะเลมาวางไข่บนชายหาด แล้วจะกลบหลุมยัดทรายให้แน่น และบางตัวจะทำรอยหลอกไว้จนดูได้ยาก หากไม่มีความชำนาญในด้านนี้จริง ๆ จะหาไม่เจอ
หลังจากที่เต่าวางไข่เสร็จ เต่าก็จะลงสู่ทะเล หลังจากนั้น 1 เดือน เต่าจะฟักออกมาเป็นตัว และเดินเรียงแถวกันลงสู่ทะเลต่อไป
สมัยก่อนที่ริมชายหาดบ้านสวนกง คนนิยมหาไข่เต่ากันเยอะมากจนเรียกได้ว่าเดินไหล่ชนกันเลยทีเดียว เต่าจะมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง คือ จะวางไข่ในที่ประจำ ปีนี้วางไข่ไว้ที่ไหน ปีต่อไปก็จะกลับมาวางไข่ไว้ที่เดิมอีก โดยวัน/เดือน/ปี ที่เต่าวางไข่ก็จะใกล้เคียงกันมาก หากมีการคลาดเคลื่อนก็จะไม่เกิน 3 วัน ปัจจุบันนี้หาได้ยากขึ้นเนื่องจากรอยบนชายหาดมีหลายรอย ทำให้สังเกตได้ยากว่าอันไหนเป็นรอยเต่า อันไหนเป็นรอยจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นรอยเรือ รอยเดิน รอยเส้น รอยต่างๆ มีหลากหลายต่อหลายรอย จึงทำให้ไม่มีใครสืบทอด’การเดินเต่า จึงทำให้คนในปัจจุบันไม่-รู้จักวิธีการเดินเต่าที่ถูกต้อง
ปลาอินทรีย์เค็มฝั่งทราย
การทำปลาอินทรีย์เค็มฝั่งดินเป็นภูมิปัญญาของหมู่บ้านสวนกงที่ไม่เหมือนที่อื่นทำกัน การเอาปลามาทำเค็มเป็นการแปรรูปเพื่อไม่ให้ปลาเสียของ คือ การคัดเลือกปลาที่ใช้ไม่ได้แล้วเอามาทำเค็มเพื่อไม่ให้สูญเปล่า หากทิ้งไปก็จะไม่ได้เงินสักบาท แต่ถ้าเอามาทำเค็มได้แล้ว หนึ่งตัว 5 กิโลกรัม ได้ถึง 1,500บาท เมื่อนำไปขาย ขายชิ้นละ 20 บาท เพราะสมัยก่อนไม่มีการชั่งกิโลขาย
การทำปลาอินทรีย์เค็มฝังดินจะได้รสชาติหอมถูกหลักอาณามัย แมลงวันจะไม่ตอมเพราะเราฝังทรายไว้แล้ว ปลาอินทรีย์ที่พองจะมีน้ำหนัก 6-7 กิโลกรัม หากเอามาทำเค็มจะมีน้ำหนัก 2-3 กิโลกรัมต่อปลาอินทรีย์หนึ่งตัว
การทำปลาเค็ม หากใช้วิธีการแบบแขวน จะทำให้หนีไม่พ้นแมลงวัน และจะต้องใช้ยาหนอน การฝังดินนับว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยจะใช้เกลือแช่อย่างเดียว
การทำปลาเค็มจะต้องทำปลาอินทรีย์ให้พองก่อน หลังจากนั้นก็ดึงไส้ปลาดึงพุ่งปลาออกให้หมด แล้วนำเกลือใส่ในท้องปลาให้เต็ม แล้วปูกระดาษหนังสือพิมพ์ตั้งและเอาเกลือทับอีกครั้ง เสร็จแล้วก็ห่อให้เป็นชิ้นๆ และหลังจากนั้นก็เอากระสอบมา ไม่ว่าจะเป็นกระสอบไหนก็ได้หมดสอบอะไรก็ได้ แล้วนำมาล้างน้ำให้สะอาด นำไปห่อตัวปลาให้เป็นชิ้น โดยการเอาเชือกมามัดทั้งหัวและท้าย นำไปฝั่งดิน ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน พอครบหนึ่งเดือนแล้วก็เอามารับประทานได้เลย โดยการนำไปผัดกับผักคะน้าเอาไปคุกกับข้าวนอกจากนี้ยังนำไปทอด ปรุงกับหอมแดง พริก และเมื่อทอดเสร็จก็นำมะนาวบีบใส่ตัวปลา
การดักปลากระบอกริมชายหาด
การดักปลากระบอกเป็นภูมิปัญญาหนึ่งที่ควบคู่ไปกับการทอดแห เป็นงานที่สะดวกสบาย เป็นงานอิสระ และอีกอย่าง ยังเป็นงานสำรองอีกต่างหาก ตื่นมาตอนเช้ามืดมาทอดแหและมาเอาปลาตอนเช้า เป็นงานที่สะดวกสบาย พอดักเสร็จก็นอนต่อ
ในการดักปลากระบอกใช้คนดักเพียงคนเดียว โดยจะเลือกดักตรงที่หน้าหาดตื่น ๆ เพราะปลาส่วนใหญ่จะเล่นหาด ปลาจะคล้าย ๆ กับเด็ก คือ ชอบสิ่งไหนก็เล่นสิ่งนั้น ซึ่งคนที่ไม่รู้จริงจะทำไม่ได้ การดักปลากระบอกไม่เพียงแต่ได้ปลากะบอก แต่ระหว่างตั้งดักปลากระบอก จะติดปลาอื่นๆ มาด้วย เช่น แม่หลุมพรุก ปลาซา นอกจากนี้ยังติด ปู หมึก กุ้ง มาด้วย แต่จะติดมาไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นปลากระบอก ช่วงที่นิยมดักปลากระบอก คือ เดือนมิถุนายน-พฤศจิกายน รายได้แต่ละวันอย่างน้อยได้ถึง 500-1,000 บาท
นี่เป็นเพียงอาชีพสำรองที่ทำควบคู่ไปกับการทอดแห่
เส็น หมัดเหล็ม หรือบังเส็น ชาวประมงพื้นบ้าน บ้านสวนกง
วิธีการปัก คือ เอาไม้หลักปักลงให้เป็นแถวจากหาดลงไปในทะเลให้เป็นแนว หลังจากนั้นก็ผึ่งอวนแล้วก็เอาเชือกผูกแขวนไปตามไม้ ไม้หลักที่ใช้ปักต้องมี 12 ด้าม/อวน 1 หัว ซึ่งอวนแต่ละหัวมีความยาวประมาณ 60 เมตร การใช้ปักต้องใช้ไม้ที่มีขนาดเท่าข้อมือประมาณ 12 ด้าม
เจ้าทะเล : พยากรณ์ฝนฟ้าอากาศ
บ่าว ระหมันยะ หรือ บังเหตุ ชาวประมงในชุมชนและชาวบ้านสวนกง ยกฉายา “เจ้าทะเล” ให้เขา เพราะ บังเหตุมีความรู้ ประสบการณ์ และเชี่ยวชาญเกี่ยวกับทะเลและการหาปลาบังเหตุสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและรู้ว่าจะเกิดภัยทางธรรมชาติขึ้น วิธีการสังเกต สามารถดูได้หลายทาง ได้แก่ปูลม
ปกติปูลมจะอยู่ที่บริเวณชายหาด แต่หากว่าจะเกิดคลื่นใหญ่ ปูลมจะหนีขึ้นมาอยู่แถวชายคาบ้านหรือหากเอาเท้าย่ำลงไปบนทราย ทรายจะทรุดตัวลงอย่างไร้สาเหตุ และหากเริ่มมืดฟ้าครึ้มขึ้นมา นั่นแปลว่าไม่ควรออกเรือ ควรกลับฝั่งโดยเร็ว
บ่าว ยะหมันยะ ชาวประมงพื้นบ้าน บ้านสวนกง
เมื่อออกทะเลไปแล้วมันจะมีสัญชาติญาณ มีคลื่นเดิ่ง หมายความว่ามีคลื่นที่สูง เมื่อก่อนออกทะเลไปกลางคืนมืดไม่มีไฟ ไม่มีเครื่องมือใดๆ เขาจะดูจากดาวเหนือ แต่เหตุการณ์นี้ ณ บ้านสวนกงไม่มีการหลงเพราะออกทะเลไปไม่ไกล ส่วนมากเมื่อมีฟ้าลั่นฟ้าแลบ ควรระวังจะมีพายุเข้า บังเหตุเคยนอนริมชายหาด เพราะ หนึ่ง-บังเหตุจะสามารถสังเกตธรรมชาติได้ง่ายขึ้น สอง-เนื่องจากปล่อยเรืออยู่ในน้ำทอดสมอ สาม-เวลาปวดเมื่อยขา ขุดดินฝั่งขาให้จมอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง เอาเท้าขึ้นมาจะรู้สึกสบายขึ้น
วิธีการหาปลา
“ต้องรู้ดินปลา สมมุติว่าหาปลาอินทรีย์ เพราะปลาใหญ่ส่วนมากจะอยู่เป็นที่ๆ ปีนี้อยู่ตรงนี้ ปีหน้าก็อยู่ตรงนี้ นี่เป็นสาเหตุที่ชาวบ้านห่วงหนักห่วงหนา เพราะทะเลแหล่งนี้เป็นที่ปลาอยู่อาศัย ก่อนจะหาปลาต้องดูน้ำดูลม วิธีที่ดีที่สุดคือการดูค่ำ 2 ค่ำและยังมีวิธีการเกี่ยวเบ็ด ใช้วิธีปกติแต่ต้องดูว่าปลากินเหยื่ออะไร เช่น ปลาอินทรีย์ใช้เหยื่อปลาหลังเขียว เพราะสีของมันทำให้ปลาอินทรีย์เห็นได้ชัด บังเหตุได้ลองใช้ปลาอื่นแล้วแต่อินทรีย์ไม่กินเหยื่อ บังเหตุบอกว่าเบ็ดสามารถทำเองได้ เราถามต่อว่าสามารถทำได้ทุกคนไหม? บังเหตุบอกว่าไม่สามารถทำได้ คนที่ทำได้มีไม่กี่คน เนื่องจากการทำเบ็ดอันตราย สาเหตุที่บังเหตุชอบวิธีนี้ ก็เพราะเป็นวิธีที่ทำกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ” บังเหตุได้กล่าวทิ้งท้ายอย่างภาคภูมิใจว่า
เดินหาหอยเสียบ
หาดทรายบ้านสวนกง ต.นาทับ อ.จะ นะ จ.สงขลา ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ผืนในประเทศไทย อีกทั้งเป็นทั้งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำเล็กๆ หนึ่งในสัตว์น้ำที่พบริมหาดทราย คือ หอยเสียบ
นิห๊ะ คนหาหอยเสียบริมทะเล บ้านสวนกง บอกเล่าว่า การหาหอยเสียบเป็นภูมิปัญญาหนึ่งของคนสวนกง อีกทั้งยังเป็นอาชีพของเขาเลยก็ว่าได้ การหาหอยเสียบนี้จะหาได้ในที่ที่มีหาดอยู่เท่านั้น การหาหอยเสียบสามารถหาได้ตลอดทั้งปี แต่หากเป็นช่วงฤดูมรสุมจะหาค่อนข้างได้น้อย เนื่องจากคลื่นจะสัดขึ้นมาสู่ฝั่ง จึงทำให้ไม่เห็นรูหอย การหาหอยสามารถหาได้หลากหลายวิธี เช่น บ้านสวนกง จะหาด้วยวิธีการเดินรู ซึ่งช่วงที่หอยเสียบจะหาได้ในเวลาช่วงสายๆจนไปถึงช่วงบ่าย 4 ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่หอยเปิดรู แต่ถ้าเกินช่วงเวลานั้นแล้วหอยอาจจะปิดรูได้เนื่องจากน้ำอาจจะซัดขึ้นมาสู่ฝั่งได้ รูหอยจะปิดและจมไปกับน้ำได้ การเดินดูรูหอยก้มดูครั้งหนึ่งอาจเห็นได้หลายรู ถ้าจับรูหอยได้หลายรูหรือได้ไม่มากขึ้นอยู่กับความชำนาญของเจ้าของภูมิปัญญา กว่าน้ำจะซัดขึ้นสู่ฝั่ง
ระยะเวลาที่ใช้ในการหาหอย ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง เก็บหอยได้ถึงกว่า 4-5กิโลกรัม แล้วนำไปขายกิโลกรัมละ 100 บาท ในแต่ละวันได้ถึง 300 ถึง 500 ต่อวัน หรือหากไม่นำไปขาย ก็เอามาแช่เกลือใส่กระปุก แช่เกลือประมาณ 2-3วัน ก็สุกแล้ว แต่จะมีรสชาติเค็มหน่อยๆ จากนั้นก็สามารถนำไปรับประทานกับข้าวได้ ดังที่กล่าวมานี้เป็นการแปรรูปเพื่อไม่ให้เสียของเช่นกัน
ขุดบ่อน้ำจืด ริมทะเล
การขุดบ่อน้ำจืด มีมาเนิ่นนานสืบต่อมารุ่นสู่รุ่นและมีในบางพื้นที่ในตอนนี้ที่มีน้ำจืดกว่าจะมีการขุดบ่อน้ำจืดมันมีเหตุผลที่ทำให้ขุด คือ เมื่อก่อนชาวบ้านไม่มีน้ำ น้ำแห้งแล้งจึงลองขุดดูที่ชายหาดและย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ชาวบ้านประสบกับปัญหา ไม่มีปลาเล็ก ไม่มีปลาใหญ่ เนื่องจากเรือประมงพาณิชย์เข้ามารุกล้ำพื้นที่และนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวประมงทำอาชีพหน้าบ้านของตนเองไม่ได้ จึงออกไปหากินที่บ้านเพื่อน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวประมงคิดว่าหากกลับบ้านไปจะได้ไม่คุ้มเสีย จึงอยู่ต่อจนเกิดการขุดบ่อน้ำจืดขึ้นมา น้ำจืดที่ได้มานั้น สามารถนำมากิน นำมาหุงข้าว นำมาใช้ได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องผ่านการต้ม เพราะว่าบ่อน้ำที่จุดลงไปมันจะมีกรวดทรายทำหน้าที่กรองน้ำให้สะอาด
การขุดบ่อน้ำจืดจะขุดหน้าหาด ต้องขุดห่างจากบ่อหน้าทะเล ไม่เกิน 2 เมตร หากจะขุดน้ำให้ลึกจะต้องดูน้ำหากน้ำทะเลขึ้นสูงขุดไม่เกิน 1 เมตร มองง่ายๆ หาดจะสั้น เวลาน้ำทะเลลงต้องขุดลึกไม่เกิน 1.5 เมตร ขุดได้ตลอดทั้งปี ยกเว้นช่วงมรสุม
ปัจจุบันนี้มีหาดทรายเหลืออยู่เพียงไม่กี่ผืนในประเทศ จึงเกิดแรงบันดาลใจให้เก็บหาดทรายผืนนี้
การสะเดาะเคราะห์หน้าบ้าน
เป็นความเชื่อของคนสมัยก่อนที่เมื่อมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่สบาย จะทำพิธีการ ‘สะเดาะเคราะห์’ คือ นำเล็บหรือเส้นผมใส่ไว้ในแพ แล้วปล่อยแพออกไปกับเกลียวคลื่นและสายลม เหลือไว้แต่เพียงสิ่งดีๆ
อุปกรณ์สำหรับทำพิธีจะมี 1.แพ 2.อาหาร 3.ขนมหวาน 4.ข้าวเหนียว ส่วนบริเวณประกอบพิธีจะอยู่ที่ริมชายหาด เป็นสถานที่รวมตัวของคนทั้งหมู่บ้าน เหตุผลที่ทำการสะเดาะเคราะห์ เพื่อเป็นการปล่อยทุกข์ แต่ปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีคนทำพิธีดังกล่าว เพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คนอิสลามยุคใหม่ไม่ค่อยเชื่อพิธีสะเดาะเคราะห์หน้าบ้าน
ผู้เขียน : กลุ่มเด็กรักหาดสวนกง บ้านสวนกง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา โครงการศึกษาภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องกับชายหาดและทะเลบ้านสวนกง ภายใต้โครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา โดยสงขลาฟอรั่มเเละมูลนิธิสยามกัมมาจล ด.ญ.สุไลมี ระหมันยะ (มาร์มี่) ด.ญ.ณัฐกฤตา หมัดเหล่ม (นี) ด.ญ.พัชริดา หมัดเจริญ (ซินดี้) นางสาวไครียะห์ ระหมันยะ (ย๊ะห์) เด็กชายพายฟัด หมัดเจริญ (ซิดดิ๊ก) บรรณาธิการ : อภิศักดิ์ ทัศนี