ศาลอุทธรณ์เลื่อนอ่านคำพิพากษา คดีชัยภูมิ ป่าแส ไป ม.ค. 2565

ศาลอุทธรณ์เลื่อนอ่านคำพิพากษา คดีชัยภูมิ ป่าแส ไป ม.ค. 2565

กว่า 4 ปี แล้วสำหรับ คดีการเสียชีวิตของ “ชัยภูมิ ป่าแส” นักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวด้านเยาวชนและสิทธิชาติพันธุ์ลาหู่ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเสียชีวิตที่ ด่านตรวจบ้านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยระบุว่าเขาครอบครองและจำหน่ายยาเสพติด ขณะที่ญาติและเพื่อนๆ พยายามสู้คดี เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ของเขา

ล่าสุด วันนี้ (26 ต.ค. 2564) ที่ศาลแพ่ง รัชดาภิเษก มีการนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดีที่แม่ของชัยภูมิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกองทัพบกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คุณนก จากกลุ่มThe Story of แม่หญิงไฟ้ท์ ปักหมุดเล่าว่า มีตัวแทนจำเลยในคดี /ทนายเจ้าของคดี พร้อมทีมทนายสิทธิมนุษยชน และ เพื่อนนักกิจกรรมเป็นตัวแทนครอบครัวที่ไม่สามารถเดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่ เข้ารับฟังคำพิพากษา

รัษฎา มนูรัษฎา ทนายความเจ้าของคดี กล่าวว่า ศาลอุทธรณ์สั่งเลื่อนนัดฟังคำตัดสินออกไป เป็นวันที่ 26 ม.ค. 2565 เวลา 8.30 น. เนื่องจากยังทำคำพิพากษาไม่แล้วเสร็จ สำหรับในชั้นอุทธรณ์ ได้โต้แย้งในประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ของทหารที่อ้างว่าทำเพื่อป้องกันตัว และประเด็นภาพจากกล้องวงจรปิด 6 ตัว ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่น่าจะช่วยยืนยันข้อเท็จจริงของคดีได้

ทนายความเจ้าของคดีกล่าวด้วยว่า คดีนี้ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารกองทัพบกกล่าวอ้างว่าทหารใช้อาวุธปืนยิงจริง แต่จำเป็นต้องยิงเพื่อป้องกันตัวเพราะชัยภูมิมีมีดและมีระเบิดสังหารจะขว้าง ดังนั้นจึงต้องป้องกันตัว ทีนี้ฝ่ายที่ยกข้อต่อสู้ขึ้นว่าเขาจำเป็นต้องป้องกันตัว เขามีภาระการพิสูจน์ทางกฎหมายว่าป้องกันตัวโดยชอบหรือไม่

“หลักฐานที่เจ้าหน้าที่ทหารให้การไม่ได้สอดคล้องกันในเรื่องอาวุธมีด บางคนบอกว่าเห็น บางคนบอกอยู่ในระยะประชิดซึ่งมันขัดแย้งกัน ประเด็นเหล่านี้เราเขียนให้ศาลเห็นว่าคำให้การของพยาน ในที่เกิดเหตุไม่สอดคล้องกันซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของศาลว่ารับฟังแค่ไหน เราจะสู้จนถึงที่สุดเพื่อความเป็นธรรมของพี่น้องชายขอบ” ทนายความระบุ

“กล้อง 6 ตัวนั้นคือความหวังของคดี มันไม่ใช่แค่การยืนยันข้อเท็จจริงของฝั่งเรา แต่ว่าถ้าฝั่งกองทัพแจ้งว่านี่คือสิ่งที่ต้องทำเพื่อการป้องกันตัว กล้องวงจรปิด 6 ตัวนี้น่าจะเป็นการยืนยันสิ่งที่เขาพูดได้ชัดเจนที่สุด” รัตนาภรณ์ เจือแก้ว กลุ่มดีจังยังทีม กล่าว

รัตนาภรณ์ บอกด้วยว่า มาศาลวันนี้ในฐานะเพื่อนของชัยภูมิที่อยู่ในกรุงเทพฯ เป็นตัวแทนมาฟังคำพิพากษา ซึ่งก็รู้สึกเศร้าที่ต้องเฝ้าแต่รอความยุติธรรม หากวันนี้แม่และครอบครัวเดินทางมาฟังคำพิพากษา คงไม่ใช่แค่เวลาและค่าใช้จ่ายที่เสียไปเพราะต้องเดินทางมาไกลจากเชียงใหม่ แต่เป็นเรื่องของกำลังใจที่มาพร้อมความคาดหวังในความยุติธรรมด้วย เพราะยังคงต้องรอคอยต่อไปอีก

“เรามาด้วยความคาดหวังที่เพื่อนเราจะได้ความยุติธรรมเสียที จริง ๆ ในทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี หรือเรื่องราว หรือครบรอบปีของชัยภูมิ ป่าแส มันเหมือนเราเปิดแผลไปเรื่อย ๆ ทุกปี ๆ มันทำให้เราคิดถึงเพื่อนเรา” รัตนาภรณ์กล่าว

ด้านปรีดา​ นาคผิว​ ทนายความมูลนิธิ​ผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า สำหรับกรณีการเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ของศาลในวันนี้ โดยศาลได้นัดฝ่ายโจทก์ฝ่ายจำเลยมาฟังคำสั่งเพียงว่าศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้เลื่อนคดีไปเป็นมกราคมปีหน้า (2565) เห็นว่าเป็นกรณีที่ศาลใช้กระบวนการพิจารณาคดีที่ก่อให้เกิดความลำบากต่อประชาชน ต่อคู่ความ โดยไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลา ถ้าแม่ของชัยภูมิมาจากเชียงดาว จ.เชียงใหม่ แค่มาฟังว่าคดีเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปในปีหน้านั้นจะรู้สึกอย่างไร ดังนั้นจึงขอให้ศาลหรือผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนช่วยพิจารณาเรื่องนี้ด้วย

ทนายความมูลนิธิ​ผสานวัฒนธรรมให้ข้อมูลว่า ศาลแพ่งได้รับคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนมา 6 วันแล้ว ดังนั้นวิธีแก้ง่ายๆ คือใช้วิธีสั่งให้เจ้าพนักงานศาล หรือเจ้าหน้าที่ศาลแพ่งโทรไปแจ้งทนายความคู่ความทั้ง 2 ฝ่ายว่า ศาลยังไม่มีคำพิพากษาลงมาขอให้ไปนัดวันที่ 26 ม.ค. 2565 จะง่ายและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน

“กระบวนการการทำงานของศาลยุติธรรมต้องปรับปรุงแก้ไขให้อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน กับคู่ความมากกว่านี้ เพราะมันเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายมาก ต้องเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาศาลเป็นตัวตั้ง ในฐานะที่เราเป็นหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน ด้านส่งเสริมการพัฒนากระบวนการยุติธรรมด้วย คงต้องมีหนังสืออีกฉบับหนึ่งเรียนมาในระบบของศาลอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่งว่า ขอให้ทบทวนและปรับปรุงรูปแบบการนัดหมายแบบนี้ด้วยเพราะจะทำให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และไม่เป็นภาระกับประชาชนมากเกินจำเป็น” นายปรีดาระบุ

ทั้งนี้ มูลคดีดังกล่าวเหตุเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงนายชัยภูมิ ป่าแส ถึงแก่ความตายที่ด่านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2560 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ เมื่อปี 2563 โดยเห็นว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารเป็นการกระทำเพื่อป้องตัวโดยชอบ และกองทัพบกไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายตามคำฟ้อง

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ