ภาพ / เรื่อง : สิริรัตน์ ตู้ภูมิ
เมื่อกล่าวถึง “บ้านคลองรั้ว” ทุกคนจะรู้จักดีเนื่องจากบ้านคลองรั้วเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของจังหวัดกระบี่ นอกจากนี้บ้านคลองรั้วยังเป็นแหล่งต่อเรือที่มีชื่อเสียงในเรื่องเรือประมงพื้นบ้านที่โต้คลื่นได้ดี และเป็นเรือที่ชาวประมงพื้นบ้านสวนใหญ่ใช้ในการหาปลาในทะเลอันดามันมานับร้อยปี
สำหรับเรือประมงที่ขึ้นชื่อว่าโต้คลื่นได้ดีและมีความสวยงามในแถบจังหวัดภาคใต้คือ “เรือหัวโทง” แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้ถึงแหล่งที่มาของเรือประมงพื้นบ้านชนิดนี้ที่มีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ และเป็นภูมิปัญญาที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่ช่างต่อเรือบ้านคลองรั้วอย่างเป็นกอบเป็นกำ สำหรับชาวบ้านคลองรั้วแล้วในเรื่องการต่อเรือหัวโทงนั้นไม่มีใครรู้จัก “บังสุพัตร” เพราะเป็นที่รู้จักของชาวบ้านคลองรั้วในฐานะที่เป็นช่างต่อเรือที่มีฝีมือในการต่อเรือเป็นอันดับหนึ่ง
บังสุพัตรหรือ นายสุพัตร เชื้อทะเล ชาวบ้านคลองรั้วที่ต่อเรือหัวโทงขายเลี้ยงครอบครัวจนถึงทุกวันนี้ บังสุพัตรเล่าให้ฟังว่า “การต่อเรือของที่นี่มีมายาวนานกว่า 100 ปี ซึ่งตกทอดมาหลายชั่วอายุคน เนื่องจากเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม เรือหัวโทงเป็นเรือที่ชาวประมงพื้นบ้านทางภาคใต้ฝั่งอันดามันนิยมใช้เพราะมีลักษณะเป็นเรือหางยาว โดยตัวเครื่องนั้นจะตั้งอยู่ส่วนท้ายใช้ได้ดีกับพื้นที่ฝั่งอันดามันที่มีคลื่นมาก และเรือประเภทนี้ยังมีลักษณะเด่นตรงส่วนหัว โดยเรือหัวโทงที่ดีขั้นตอนการผลิตทุกอย่างต้องละเอียดลออ พิถีพิถันทั้งลำ หัวเรือต้องเชิดสูงงอน สำหรับผู้ที่จะมาสั่งทำเรือประเภทนี้มักจะอยู่ทางภาคใต้ ได้แก่ สตูล ตรัง ภูเก็ต กระบี่ พังงา ส่วนระนอง พอจะมีมาสั่งบ้างไม่มากเหมือนจังหวัดอื่นๆ อาชีพการทำเรือหัวโทงทำมาแล้วกว่า 10 ปี สืบทอดมาจากพ่อที่เสียชีวิตไป ซึ่งตกทอดมากว่า 3 รุ่น ในการทำเรือหัวโทงจะไม่มีตำรา แต่จะอาศัยการเรียนรู้ การศึกษาด้วยตนเอง โดยจะใช้สมองในการจดจำเป็นการดูแล้วจำแล้วก็หัดทำมาเรื่อยๆเพื่อสั่งสมประสบการณ์
ชีวิตของบังสุพัตรจึงผูกพันอยู่กับการต่อเรือหัวโทงจนถึงปัจจุบัน และความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อมาตั้งแต่เด็กทำให้บังสุพัตรสามารถใช้ความรู้นั้นหาเลี้ยงครอบครัวมาได้จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าพ่อจะเสียไปแล้วก็ตาม
“เรือหัวโทงที่บังทำจะมีขนาดเล็กสุดอยู่ที่ 11 กง หรือประมาณ 3 เมตรกว่า จนไปถึง 14-15 เมตร ส่วนค่าจ้างในการทำเรือจะขึ้นอยู่กับขนาดของเรือ เช่น หากขนาด 21 กง ค่าแรงจะอยู่ที่ประมาณ 25,000 บาท เรือลำหนึ่งบังจะขายประมาณลำละ 180,000 – 200,000 บาท แล้วแต่ขนาดของเรือบางครั้งคนที่มาสั่งทำก็จะนำไม้มาเองเรามีหน้าที่สร้างให้เป็นเรือ ราคาก็ถูกลงมาหน่อย เรือหนึ่งลำใช้ระยะเวลาไม่เกิน 10 วัน ในเวลา 1 เดือน สามารถจะทำเรือหัวโทงได้ประมาณ 3 ลำ ไม้ที่ใช้ส่วนใหญ่คือ ไม้ชิง ไม้พะยอม ไม้กระถิน ไม้เทียม”
ในการต่อเรือหัวโทงบังสุพัตรจะมีลูกน้องประจำ 2 -3 คนสลับสับเปลี่ยนกันไปแล้วแต่ใครสะดวก บางครั้งเจ้าของเรือที่มาสั่งทำเรือก็มาช่วยทำด้วย บางครั้งก็มาช่วยเหล่าไม้ บางครั้งก็มาช่วยทาสี และถือว่ามาดูความคืบหน้าของเรือที่มาสั่งทำอีกด้วย การต่อเรือนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายมีขั้นตอนหลายขั้นตอนและยุ่งยากสลับสับซ้อนกันเป็นงานที่ไม่มีแบบจึงจำเป็นต้องมีการเรียนรู้ และอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมา
“การทำเรือนั้นมีความยาก หากคนอื่นที่ไม่มีความรู้เดิมมาเรียนทำเรือต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี ถึงจะชำนาญพอที่จะทำเรือได้ เพราะการทำเรือหัวโทงมีขั้นตอนที่ยาก ต้องใช้ความประณีต พิถีพิถัน เพราะไม่มีแบบ คนที่จะมาประกอบอาชีพทำเรือนั้น ต้องมีความรักในงาน รักในอาชีพ และต้องใช้เวลาในการศึกษานาน รวมถึงอาจต้องอาศัยพรสวรรค์ส่วนตัวประกอบ ปัจจุบันเมื่อเทียบขนาดเรือหัวโทงกับในสมัยก่อนได้มีการพัฒนาให้ใหญ่ขึ้นมาก เนื่องจากในอดีตนั้นมีความกว้างประมาน 11 กง มีความกว้างของปากประมาณ 1.6 เมตร แต่ปัจจุบันมีความกว้างถึง 2 เมตรกว่า ขนาดของเรือจะยาวขึ้น สาเหตุที่ชาวประมงนิยมใช้เรือขนาดใหญ่ขึ้น เพราะชาวประมงต้องการใช้เดินเรือเพื่อไปจับปลาในระยะทางที่ไกลกว่าเดิม จึงต้องใช้เครื่องยนต์เดินเรือที่ใหญ่ และแรงขึ้น เพื่อใช้บรรทุกของ อุปกรณ์จับปลา และสะดวกต่อการเดินเรือประมง ทั้งนี้ทะเลไม่มีความสมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน ชาวประมงจึงออกจับปลาไกลกว่าเดิมจากที่เคยจับอยู่แค่ริมชายฝั่ง เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและปลาได้ปลามากกว่าเดิม”
อาชีพช่างต่อเรือนั้นมีความสำคัญต่อต่อชาวประมงพื้นบ้านเป็นอย่างมาก เพราะชาวประมงพื้นบ้านส่วนใหญ่ใช้เรือหัวโทงในการทำประมง และที่สำคัญอาชีพนี้นับเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมายาวนานจนถึงปัจจุบัน เป็นความรู้ที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านคลองรั้วได้อย่างมากมาย แต่ปัจจุบันอาชีพนี้กำลังได้รับผลกระทบ เนื่องจากการทำประมงต้องเผชิญภาวะเสี่ยงจากการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินทำให้อาชีพช่างต่อเรือได้รับผลกระทบตามไปด้วย
“ การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้นมีผลกระทบมากต่ออาชีพนี้ เพราะหากชาวประมงออกจับปลาไม่ได้ แล้วช่างจะสร้างเรือไว้เพื่ออะไร หรืออนาคตคงต้องเข้าเป็นพิพิธภัณฑ์ (บังหัวเราะ) เพราะที่สามารถอยู่ได้จากรุ่นปู่ย่ามาถึงปัจจุบัน ก็เพราะประกอบอาชีพทำเรือ วอนรัฐบาลเห็นใจชาวบ้าน และชาวประมงที่ทำอาชีพเดินเรือจับสัตว์น้ำ เพราะหากมีโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีการขนถ่ายถ่านหินทางเรือ และเขตที่ใช้ขนถ่ายนั้น เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านใช้เดินเรือทำการประมงออกจับปลาเพื่อเลี้ยงชีพ รัฐบาลควรหาทางออกที่ดีกว่านี้ ยุติการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะจะส่งผลกระทบต่อชาวบ้านอย่างมาก”