12 มี.ค. 2559 อังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของ สมชาย นีละไพจิตร ทนายความนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เชิญชวนร่วมลงชื่อในการรณรงค์ผ่านเว็บไซต์ change.org ขอให้มีการรื้อคดี “ทนายสมชาย” อย่างโปร่งใสและอิสระ (คลิกดู) โดยเรียกร้องต่อ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ศ.(พิเศษ) พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนที่เกี่ยวข้อง
“การหายตัวไปของทนายสมชายเมื่อ 12 ปีก่อน เรื่อยมาจนถึงการยกฟ้องต่อจำเลยทั้ง 5 คน เมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดคำถามมากมายในสังคมไทยต่อประสิทธิภาพของการสืบสวนและกระบวนการยุติธรรม เราในฐานะคนไทย ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องเร่งสืบคดีของ นายสมชาย นีละไพจิตรอย่างจริงจัง โปร่งใส และอิสระมากขึ้น พร้อมกับผ่านกฎหมายในประเทศและให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการอุ้มหายทุกฉบับ ตลอดจนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการอุ้มหายอย่างเต็มที่ด้วย” ข้อความในการรณรงค์ที่ระบุในเว็บไซต์ change.org
นอกจากนั้น ยังมีคำแถลงของ อังคณา นีละไพจิตร ประกอบในเว็บไซต์รณรงค์ ดังนี้
12 ปีแล้วที่ดิฉัน อังคณา นีละไพจิตร และลูกๆ อีก 5 คนไม่ได้พบหน้าทนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมและรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาทนายความ และที่สำคัญกว่านั้นคือ “สามี” ของดิฉันและ “พ่อ” ของลูกๆ สิ่งที่เหลือมีเพียงความโศกเศร้า คำถาม และคดีความที่จบลงด้วยการพ่ายแพ้ ก่อนหายตัวไป “ทนายสมชาย” ว่าความให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่อ้างว่าถูกทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้รับสารภาพ จนกระทั่งคืนวันที่ 12 มีนาคม 2547 ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลยหลังจากที่เขาแยกตัวกับเพื่อนทนายย่านรามคำแหง ดิฉันและครอบครัวยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นตำรวจ 5 นาย 1 ในนั้นคือตำรวจที่ลูกความของทนายสมชายกล่าวหาว่าทรมานผู้ต้องสงสัยด้วย ในขณะที่ความหวังที่ครอบครัวนีละไพจิตรจะได้อยู่พร้อมหน้าอีกครั้งริบหรี่ลงเรื่อยๆ โอกาสครั้งสำคัญที่ดิฉันและลูกๆ จะได้รับรู้รสชาติความยุติธรรมก็จบลงเช่นกัน ศาลฎีกาตัดสินเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ยกฟ้องตำรวจทั้ง 5 นาย โดยไม่พิจารณาหลักฐานเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ที่มีความน่าเชื่อถือซึ่งฝ่ายดิฉันยื่นไป สิ่งที่เกิดขึ้นเสมือนเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ทรมานทางจิตใจตลอด 12 ปีของพวกเราให้เพิ่มขึ้นทวีคูณ วันนี้ ดิฉันในฐานะภรรยาของทนายสมชายและผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ซึ่งช่วยจัดทำแคมเปญนี้ขึ้นมา ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง; – เร่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้สืบคดีของนายสมชาย นีละไพจิตรอย่างจริงจัง – สอบสวนการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร และผู้ที่คาดว่าถูกอุ้มหายทุกคนในประเทศไทย อย่างเป็นอิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ มีการสั่งพักงานเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นไปได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการอุ้มหาย ตลอดจนนำตัวผู้ต้องสงสัยเข้าสู่การพิจารณาคดีที่เป็นธรรม – ให้สัตยาบันต่อ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ และบังคับใช้กฎหมายในประเทศให้สอดคล้องกับข้อบทของอนุสัญญาดังกล่าว – ระบุที่อยู่และชะตากรรมของผู้ที่คาดว่าถูกอุ้มหาย ตลอดจนนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม – รับประกันว่าผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและครอบครัวจะได้รับการเยียวยาอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ แม้ดิฉันจะได้รับข้อมูลว่าทนายสมชายถูกทรมานจนเสียชีวิต แต่ก็ไม่มีหน่วยงานรัฐไหนที่รายงานอย่างเป็นทางการได้เลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับทนายคนสำคัญของไทยและสมาชิกคนสำคัญของครอบครัวนีละไพจิตรคนนี้กันแน่ “ความจริง” ยังคงหลบซ่อนอยู่ในมุมมืดที่ใดสักแห่งในสังคมไทย ดิฉันขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยร่วมกันใช้โอกาสครบรอบ 12 ปีการหายตัวไปของทนายสมชายเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องนำความยุติธรรมมาสู่ทนายสมชาย ครอบครัวนีละไพจิตร ตลอดจนผู้ที่คาดว่าถูกอุ้มหายคนอื่นๆ ในประเทศต่อไปด้วย “การบังคับสูญหายไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ อาจเป็นคนในครอบครัวคุณหรือคนที่คุณรัก … ร่วมรณรงค์กับเราเพื่อยุติการบังคับสูญหายในประเทศไทย” — อังคณา นีละไพจิตร |