วิถีชีวิตเกษตรกรชาวนาพะเยา
ข่าววิถีชีวิตของชาวนา (Embedding disabled, limit reached)
ปัจจุบันจำนวนของชาวนาไทยมีแนวโน้มลดลง จากการรวบรวมข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดพะเยา พบว่าพื้นที่ปลูกข้าวของประเทศไทยลดลงประมาณ 2 ล้านไร่ แต่พื้นที่ในการเพาะปลูกยางพารากลับเพิ่มขึ้นกว่า 4 ล้านไร่ โดยพบว่าในปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่นิยมทำนา กลับเลือกที่จะเดินทางเข้าเมืองแห่งอุตสาหกรรมเพื่อหางานทำ โดยลืมไปว่ายังมีอีกอาชีพหนึ่งที่ไม่ต้องแข่งขันกับใคร และยังเป็นอาชีพที่น่านับถือยกย่อง เพราะถือเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ
อาชีพทำนาถือเป็นอาชีพที่มีความสำคัญต่อสังคมไทย เนื่องจากเป็นอาชีพหลักของคนในประเทศ อีกทั้งข้าวยังถือเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ เป็นปัจจัยหลักที่ใช้ในการบริโภคเพื่อดำรงชีวิต นอกจากนั้นยังถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้หลักให้กับเกษตรกร ข้าวของจังหวัดพะเยาถือได้ว่าเป็นสินค้าคุณภาพ เพราะเป็นจังหวัดที่ปลูกข้าวเพียงฤดูนาปีเท่านั้น อีกทั้งพื้นที่ที่ใช้ในการปลูกยังเป็นลักษณะของดินเหนียวใกล้เชิงภูเขาไฟ และเป็นดินภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ทำให้มีรวงข้าวที่แข็งแรง เมล็ดสมบูรณ์
พันธุ์ข้าวที่นิยมเพาะปลูกของจังหวัดพะเยามี 2 สายพันธุ์ด้วยกัน นั่นก็คือ พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข.6 ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวเหนียว ทั้งสองสายพันธุ์มีความทนต่อสภาพแวดล้อม ให้รวงข้าวที่แข็งแรง และเป็นพันธุ์ข้าวที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดพะเยา
วิธีการปลูกข้าวนั้นแบ่งออกเป็น 4 วิธีหลักๆ นั่นก็คือ การปักดำ การหว่านข้าวแห้ง การหว่านน้ำตม และการโยนกล้า ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับระบบนิเวศของแต่ละพื้นที่ โดยจังหวัดพะเยานิยมปลูกข้าวแบบปักดำ เพราะจะให้ผลผลิตที่สูงกว่า เมล็ดใหญ่กว่า
หลังจากปลูกข้าวแล้วชาวนาจะต้องดูแลแปลงอยู่ตลอดเวลา เกษตรกรชาวนาพะเยาจะใส่ปุ๋ยบำรุงข้าวถึง 3 ครั้งด้วยกัน เพื่อบำรุงธาตุอาหารให้ข้าวจนกว่าจะถึงเวลาในการเก็บเกี่ยว นอกจากจะดูแลเรื่องปุ๋ยแล้ว ชาวนาจะต้องดูแลเรื่องน้ำ และวัชพืชต่างๆในนาข้าว เพื่อให้ต้นข้าวที่พวกเขารักนั้นให้ผลผลิตที่งอกงาม คุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อย
ทั้งนี้ การปลูกข้าวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าใครๆก็สามารถทำได้ คนที่จะทำได้ต้องมีใจรัก ดูแลเอาใจใส่แปลงข้าวเป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่ปลูกแล้วจะรอเก็บเกี่ยวเลย จะต้องดูแลจัดการแปลงอยู่เป็นระยะระยะ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เช่น ต้นทุนการผลิตข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการเพิ่มราคาของปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช น้ำมันเชื้อเพลิง และอุปกรณ์การเกษตร ทำให้เกษตรกรชาวนาต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังต้องเผชิญกับปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่นที่ผ่านมา เกษตรกรชาวนาพะเยาต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วม และปัญหาโรคของข้าวที่ส่งผลให้ได้ปริมาณผลผลิตที่น้อยลง ซึ่งปัญหาและอุปสรรคต่างๆล้วนบั่นทอนกำลังใจของชาวนาพะเยายิ่งนัก แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงยืนกรานที่จะทำอาชีพนี้ต่อไม่ใช่เพราะว่าไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไร แต่เป็นเพราะความผูกพันกับอาชีพนี้มาช้านาน จนกรายเป็นความรักในอาชีพทำนา ที่คนรุ่นใหม่เมินเฉย
จากการสัมภาษณ์คุณสวัสดิ์ ภิญโญ ชายอายุ 52 ปี ที่ทำนามากว่า 30 ปี ฝากถึงคนรุ่นหลังเกี่ยวกับอาชีพชาวนา อีกหน่อยก็จะไม่มีที่นาแล้ว คนรุ่นหลังก็จะขายหมด หรือไม่ก็สร้างเป็นอย่างอื่น นาก็จะไม่มีทำ ข้าวก็จะไม่มีกิน ต้องไปซื้อจากที่อื่น อยากจะฝากให้คนรุ่นหลังอนุรักษ์นาไว้
อย่างไรก็ตาม อาชีพทำนาถือเป็นสังคมกสิกรรมที่อยู่อาศัยกันแบบพี่น้อง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย มีความสุขกับการอยู่กับสิ่งที่พวกเขารัก นั่นก็คือการทำนา สิ่งที่เกษตรกรชาวนาพะเยาต้องการจากรัฐบาลชุดนี้ก็คือการจัดทำนโยบายข้าวที่ทำให้พวกเขาสามารถขายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม ไม่ขาดทุน เพราะหากไม่มีอาชีพทำนา ไม่มีชาวนา ก็จะไม่มีข้าว ถึงแม้จะมีข้าวก็เป็นข้าวที่สั่งเข้าจากต่างประเทศ ดั้งนั้น หากเยาวชนรุ่นใหม่ไม่สนใจที่จะสืบทอดอาชีพที่หล่อเลี้ยง และอยู่คู่กับคนในสังคมไทยมาช้านานอย่างเช่นอาชีพทำนา ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าประเทศไทยคงจะมีการทำนาเพียงเพื่อการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว การสั่งสมความรู้เกี่ยวกับการทำนาของบรรพบุรุษไทย วิวัฒนาการและพัฒนาการการทำนาต่างๆคงจะมีจัดโชว์อยู่ในแค่พิพิธภัณฑ์เพียงอย่างเดียว