Ruthless Time “Songs of Care” กับความเป็นสื่อพลเมือง
สารคดีเรื่องนี้นำเสนอปัญหาเกี่ยวกับการเพิ่มของจำนวนประชากรผู้สูงอายุ ในโลกตะวันตก การขาดแคลนบุคลากร และการแปรรูปบริการสาธารณะ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งทางธุรกิจ
โดยนำเสนอผ่าน บทเพลง ที่ถูกเขียน มาใหม่จากถ้อยคำในจดหมายของพยาบาลคนหนึ่ง ที่พยายามที่จะเปิดโปงปัญหาและความรู้สึกของผู้คนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมการร้องเพลงในเรื่องนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ตัวละครใช้เพื่อปลดปล่อยความเครียดและความอึดอัดจากงานที่เหนื่อยล้าและท้าทาย เป็นเสมือนการ “ปลดปล่อย” ความรู้สึกที่บางครั้งไม่สามารถแสดงออกในที่ทำงานหรือในชีวิตจริงได้ โดยเล่าปัญหาผ่านตัวละครต่างๆในโรงพยาบาล
สะท้อนถึงปัญหาและความท้าทายของผู้ทำงานในอุตสาหกรรมดูแลผู้สูงอายุผ่านการเล่าเรื่องแบบสารคดีและบทเพลง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ “สื่อภาคพลเมือง” ที่ให้ความสำคัญกับการนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มคนในสังคมที่อาจไม่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลัก
บริบทใน สื่อภาคพลเมือง ที่มีความสอดคล้องกับเรื่องราวในสารคดี Ruthless Time “Song of Care”
ในบริบทของสื่อพลเมืองในประเทศไทย เรื่องราวของชุมชนที่ขาดเสียงหรือไม่รู้ถึงสิทธิพลเมืองที่พวกเขาควรได้รับ เป็นปัญหาที่สามารถสะท้อนได้จากสารคดี Ruthless Time: Songs of Care ที่แสดงให้เห็นว่าคนในสังคมที่มีเสียงน้อยมักถูกมองข้ามและไม่สามารถเข้าถึงสิทธิหรือการสนับสนุนที่เหมาะสมได้ ด้วยบทบาทของสื่อพลเมือง เราจึงสามารถช่วยให้ชุมชนเหล่านั้นได้รู้จักสิทธิของตนเองและเป็นช่องทางในการแสดงออกผ่านเรื่องราวของพวกเขา ทำให้เสียงของชุมชนเหล่านี้ได้รับการยอมรับและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในสังคม
ทำไมถึงต้องมีสื่อพลเมือง
สื่อพลเมืองมีความสำคัญเพราะมันช่วยให้เสียงของชุมชนที่ถูกมองข้ามได้รับการยอมรับ ช่วยให้คนในสังคมสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ เช่น สิทธิพลเมือง ความยุติธรรม และปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญ โดยไม่ต้องพึ่งพาสื่อหลักที่อาจมองข้ามหรือบิดเบือนข้อมูล สื่อพลเมืองจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจและการเปลี่ยนแปลงในสังคม ช่วยให้ชุมชนสามารถสื่อสารปัญหาและความต้องการของตนเองได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสื่อกระแสหลักที่อาจไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมด นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างความตระหนักในสิทธิและหน้าที่ของประชาชน ทั้งในเรื่องการเมืองและสังคม โดยให้ทุกคนมีช่องทางในการแสดงความคิดเห็นและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในสังคมได้อย่างเท่าเทียม
“สรุปบทความ”
สารคดีเรื่องนี้พยายามที่จะทำให้เราตระหนักรู้ถึงสิทธิของตัวเราเอง ที่จะไม่เพิกเฉยต่อความไม่ยุติธรรม หรือมองข้ามปัญหาในสังคม ทำให้เราเกิดการรับผิดชอบหน้าที่ในสังคม มีเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น การที่เราประสบกับปัญหาในสังคมควรใช้โอกาสนี้เพื่อยืนหยัดในสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างสังคมที่ดีขึ้นและยุติธรรม
หากเราที่เป็นประชาชนได้รับผลกระทบเอง แล้วไม่ออกมาพูด ไม่แสดงสิทธิของเรา ปัญหาเหล่านั้นก็จะไม่ถูกพูดถึง และคงถูกกดทับไว้ใต้พรม ไม่ได้รับการแก้ไข หรือดูแล ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงทำให้เราได้รับแรงบัลดาลใจ มีความกล้าที่จะลุกขึ้น ต่อสู้ เพื่อสิทธิ เสรี ของเรา เหมือนในสารคดีที่ออกมายืนหยัดสิทธิของพวกเขาจากความยุติธรรมของระบบสังคมสงเคราะห์ที่ไม่สนับสนุนที่ขาดประสิทธิภาพของรัฐ เพราะเสียงของประชาชนคือใจความสำคัญของประชาธิปไตยและการที่เราเลือกจะไม่พูดหรือไม่ยืนหยัดทำให้สิ่งที่ควรแก้ไขยังคงถูกกดทับเสียงของเราเป็นพลังที่สามารถกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้